Burning (Lee Chang-dong, 148 min, 2018)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
Prebisch–Singer hypothesis มองว่าประเทศกำลังพัฒนาจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าโดยเริ่มจากการส่งออกสินค้าเกษตรหรือสินค้าอุตสาหกรรมได้ เพราะสุดท้ายราคาสินค้าส่งออกจะต่ำกว่าราคาสินค้านำเข้าอย่างพวกเครื่องจักร ซึ่งเรียกว่า “falling terms of trade”
นักเศรษฐศาสตร์สำนักหลังเคนส์ ได้มองว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดจากกลุ่มทุนจากจีนในตลาดโลกและการล่มสลายของการพัฒนาเอเชียตะวันออกแบบจำลองห่านบิน น่าคิดว่าอย่างญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ที่ข้ามพ้นประเทสกำลังพัฒนาไปได้เขาทำได้อย่างไร ซึ่งมีความพยายามอธิบายด้วยแบบจำลองห่านบิน ถ้ามองว่าจ่าฝูงคือญี่ปุ่น มีเกาหลีใต้และไต้ไหวบินขนาบ ไทยกับมาเลฯ ก็บินรองลงมา ถ้าเป็นเช่นนี้จะเกิดภาวะ division of labor คือแบ่งงานการทำ ไม่ให้เกิดการแข่งกันผลิตแล้วสินค้าล้นเกิน
พูดให้ง่าย คือให้แต่ละประเทศผลิตตามความสามรถของตนเอง อย่างเช่น ญี่ปุ่นย้ายไปผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงในช่วงทศวรรษ 2500 แล้วให้เกาหลีใต้และไต้หวันผลิตเสื้อผ้า สิบปีผ่านไปสองประเทศนั้นก็ไปผลิตเทคโนโลยี ประเทศรองลงมาก็ไปผลิตเสื้อผ้าแทน ซึ่งนี่เองจะช่วยลดการแข่งขันการส่งออก แต่ท้ายที่สุดโมเดลดังกล่าวก็ถูกพังทลายลง ประเทศต่างๆ หันไปรับเอาแนวคิดเสรีนิยมใหม่ รัฐบาลยอมเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนย้ายของทุน ต่อมาจึงเกิดการลงทุนมากเกินไป กรณีที่น่าสนใจคือที่เกาหลีใต้และไทย
หลังจากการขึ้นสู่อำนาจของช็อน ดู-ฮวันผ่านการสังหารหมู่ชาวเกาหลีใต้ที่กวางจูในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 เขานำนโยบาลเปิดการค้าเสรีกับต่างชาติ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศจากโมเดลก่อนหน้าของพัก ช็อง-ฮี ที่เน้นตลาดทุนปิด และการให้รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับดูแลสภาพการเงินประเทศ ช็อนเน้นย้ำถึงการเปิดประเทศสู่การหลั่งไหลของเงินต่างชาติโดยปราศจากการควบคุมของรัฐ
ช่วงการปกครองทหารภายใต้การนำของช็อนและโน แท-อูพยายามสร้างบรรยากาศเศรษฐกิจโดยยึดหลักสามข้อได้แก่ ลดค่าเงินวอน ทำอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ และลดราคาน้ำมัน นำไปสู่ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในกระบวนการนี้มีผู้ลงทุนรายใหญ่ของประเทศคือฮุนไดและซัมซุง เกิดวงจรในทางบวกคือเพิ่มการส่งออก รายได้เข้าประเทศมากขึ้น เกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้นไปอีก จนมีผู้กล่าวว่าช่วงเวลาเพียงแค่สี่ปีนี้ทำให้การค้าของเกาหลีพุ่งทะยานสูงสุดในรอบ 45 ปีของเศรษฐกิจเกาหลีใต้จากแต่ก่อนที่มีแต่ค่าแรงตกต่ำและการเอารัดเอาเปรียบ
ในขณะเดียวกันก็นำไปสู่ความตื่นรู้ของระบอบประชาธิปไตย มีการนัดชุมนุมของชนชั้นแรงงานเช่นเดียวกับองค์กรสหภาพแรงงานที่ผุดขึ้นจำนวนมาก จนเกิดการยกระดับชนชั้นทางสังคมของแรงงาน ผลจากการเปิดประเทศของรัฐบาลทหารมีลักษณะที่ถูกกล่าว่า “เป็นปฏิปักษ์กับเกษตรกร” ตรงข้ามกับนโยบายของพัก ช็อง-ฮีที่เน้นการปฏิวัติสีเขียว ซึ่งทำให้ชนบทและในเมืองมีความสมดุล
รัฐบาลทหารได้พยายามส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อให้เกิดดุลทางการค้าโดยสนับสนุนกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ของประเทศ ชาวนาได้พยายามต่อต้านท่ามกลางความผันผวนของราคาเนื้อและพริกไทย กระแสแรงต้านโหมหนักจนถึงขีดสุดในปี 1987-1988 ที่กรุงโซล จนเกิดการก่อตั้งกลุ่ม KPL ขึ้น
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่พลิกโฉมหน้าเกาหลีคือความพยายามของสหรัฐฯ นำโดยเรแกนที่ต้องการให้เปิดประเทศ ในช่วงนั้นเองที่ประเทศสังคมนิยมกำลังเสื่อมสลายหลังโซเวียตแตก พร้อมๆ กับการขึ้นมาของคิม ย็อง-ซัมที่ทำให้ประชาธิปไตยของเกาหลีอ่อนแอ เขาใช้วาทกรรมของโลกาภิวัตน์ในการสร้างชาติ
ปฏิกิริยาห่วงโซ่เหล่านี้นำไปสู่การไหลหลากของทุนข้ามชาติและทรัพย์ฟองสบู่ ซึ่งสลายอย่างรวดเร็ว คล้ายกันกับในหลายๆประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งต้นตอหลักมาจาก ความผิดพลาดในการบริหารจัดการของสถาบันการเงินไทยได้ลุกลามเป็นปัญหาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค สหรัฐฯพยายามกีดขวางการช่วงเหลือทางการเงินจากญี่ปุ่นและบีบให้เกาหลีใต้รับความช่วยเหลือจาก IMF นำไปสู่การสร้างเกาหลีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเองสหรัฐฯได้ปลูกแนวคิดเสรีนิยมใหม่สู่เศรษฐกิจเกาหลีใต้ โดยที่ไม่ค่อยมีคนตระหนักรู้ ตัวละครหลักในช่วงกลางทศวรรษ 90 คือชาวนา พยายามต่อต้านตลาดเกษตรกรรมเสรี รวมทั้งการ privatisation ขององค์กรต่างๆ กล่าวคือเป็นการทำลายรัฐสวัสดิการซึ่งเป็นผลมาจากการเข้ามาของ IMF ซึ่งนำไปสู่ชีวิตของชนชั้นล่างที่แหลกสลาย
บริษัทจำนวนมากถูกขายและปรับเปลี่ยนโครงสร้าง คนเกาหลีใต้จำนวนมากตกงาน มีการชุมนุมต่อต้านการขาย Daewoo Autos ที่ล้มละลายให้กับทุนต่างชาติ (และสุดท้ายก็ถูกซื้อไปโดยบริษัทสหรัฐฯ) นำไปสู่การชุมนุมพันกว่าคนในปี 2001 และการจับกุมพวกเขาทำให้ผู้คนเริ่มตื่นรู้ถึงความร้ายแรงของระบบเสรีนิยม
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 เกาหลีใต้ได้ประกาศจะสร้างเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นแผนของกองทัพเพื่อขัดขวางจีน ทำให้รอบการฉายหนังในโรงลดลง นำเข้าเนื้อและรถยนต์จากสหรัฐฯ มากขึ้น ปฏิรูประบบการคิดเงินค่ายา มีการชุมนุมต่อต้านจากหลายหลายอาชีพ ขัดขวางการมาชุมนุมของชาวนาในชนบท แสดงถึงภาวะเผด็จการของโน มู-ฮย็อนซึ่งเคยแสดงภาพลักษณ์ว่าตนเองมีความเป็นประชาธิปไตย
มีการวิเคราะห์ว่ากองทุน IMF ว่าทำให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ยาก เกิดความไม่เท่าเทียมกันเพื่อแลกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจแค่บางด้านอันส่งผลร้ายต่อระดับการเติบโตอย่างยั่งยืน และมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้ทรัพยากรส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่แต่กับชนชั้นสูง
Manuel Castells มองว่าแนวคิดเสรีนิยมใหม่และการทำให้ทันสมัยโดยมีโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดแนวคิดประเทศโลกที่สี่ ผลกระทบของแนวคิดเสรีนิยมทำให้เกิดการถ่ายโอนไม่เพียงแต่ทุนข้ามชาติ หากแต่เป็นองค์ความรู้ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจากฝากตะวันตกไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา กำเนิดเป็นโฉมหน้าใหม่ของความทุกข์ยาก ได้แก่ความไม่เท่าเทียมกัน (inequality) การแบ่งขั้วตรงข้าม (polarization) ความยากจน (poverty) และความสิ้นไร้ไม้ตอก (misery)
การขยายตัวของเศรษฐกิจและการเข้าครอบครองทรัพยากร ทำให้ช่องทางที่จะดำรงชีวิต การมีงานทำ มีสวัสดิภาพ และความมั่นคงกลับถดถอยลง การทำงานที่มีลักษณะเป็นปัจเจก การจ้างงานอาจถูกยกเลิกเมื่อใดก็ได้ ปราศจากความมั่นคงหรือสวัสดิการใดๆ ทำให้เกิดเป็นสภาพของคนในสังคมที่สนใจตนเองมากกว่าสังคมส่วนรวม
การการขูดรีดคนงานอย่างสาหัสโดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานการตอบแทนแรงงาน การจำกัดการเข้าถึงโอกาสและทรัพยากรด้วยการแข่งขันแบบคัดออก ทำให้บางกลุ่มถูกทิ้งระยะห่างจากคนที่จะมีโอกาสดีกว่าทางสังคม คนรวยก็หลบเลี่ยงภาษีเอาเงินไปฝากต่างประเทศได้ และระบบนี้เองได้แยกผู้คนออกเป็นสองขั้ว เกิดกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากรัฐบาล มีการผลักให้อีกฝ่ายว่าเป็นพวกไม่รักชาติ
ชนชั้นกลางและชนชั้นบนจะได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมจากการพัฒนาประเทศ ทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจภาคบริการ และระบบแบบเก็งกำไร และทิ้งภาระระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพิงทรัพยากร และระบบภาคการผลิตให้เป็นของชนชั้นรากหญ้า ซึ่งเป็นระบบที่ผันผวนไม่แน่นอน
ประเทศกำลังพัฒนานั้นประชาชนมีความคาดหวังว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น และเน้นให้มีเสถียรภาพของสถาบันทางการเมือง การเข้ามาของสถาบันด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และ IMF ในประเทศเหล่านั้นได้แก่ ไทย เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศซับซาฮาราในแอฟริกา (เคนย่าเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มนี้)
เดิมโลกที่สาม รัฐจะอยู่ในสถานะเหนือกว่าสังคม มีข้ออ้างว่าพยายามทำประเทศให้ทันสมัยอย่างตะวันตก (modernization) แต่เมื่อมีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้น รัฐจะกลายเป็นรัฐราชการ-อำนาจนิยม พร้อมๆกัน โลกาภิวัตน์ เป็นเงื่อนไขที่ประสานผู้คนเข้าด้วยกัน ตัดเส้นเขตแดน Aiwah Ong เรียกว่าสภาวะข้ามชาติ หรือ Transnationality ซึ่งได้มากำหนดความเป็นไปของโลกในยุคทุนนิยมตอนปลาย นำไปสู่วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่จองจำผู้คนไว้อย่างเด็ดขาด หรือ David Harvey บอกว่าแนวคิดนี้มันลื่นไหล แต่ก็กำกับและควบคุมได้อย่างแยบยล เข้าถึงผู้คนได้ทุกที่ทุกเวลา และนับวันกลวิธีของมันจะยิ่งพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ
ในกรณีของไทย เสรีนิยมใหม่ได้เข้ามาไม่ต่างจากเกาหลีใต้นัก ผ่านสถาบันการเงินอันทรงอิทธิพล อย่างธนาคารโลกสมัย จอมพลสฤษดิ์ ให้กู้เงินเพื่อสร้างดำเนินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่หนึ่ง เข้ามาสร้างอีสานทำให้คนขอนแก่นรักท่านอย่างมากเสียจนสร้างอนุสาวรีย์ให้ไว้กลางเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการสถาปนาอำนาจแบบ Triumvirate ระหว่างชนชั้นสูง สฤษดิ์และสหรัฐฯในช่วงสงครามเย็น เรื่อยไปจนยุคหลังต้มยำกุ้งของรัฐบาลชวน ที่ดำเนินตามแนวทางของ IMF และมาถึงปัจจุบัน
เบน กลายเป็นภาพของชายหนุ่มราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาชวนเชื่อตามวัฒนธรรมบริโภคนิยม เที่ยวสั่งสอนคนชนชั้นล่างอย่างแฮมีและจงวูให้ใช้ชีวิตด้วยแรงบันดาลใจ ให้มันทุ้มในกระดูกทุกชิ้น เขามีชีวิตที่เลือกได้ ร่ำรวยจากอาชีพหรือการงานอะไรที่ระบุได้ยาก เขาเองพูดเพียงกว่าสิ่งที่เขาทำคือเล่น หนึ่งในกิจกรรมที่เขาทำคือการเผาโรงนาที่ถูกทิ้งรกร้าง ซึ่งเขาเองจะเป็นคนตัดสินใจว่ามันไร้ประโยชน์จริงๆหรือไม่ การเผาทำลายของเขาจึงเป็นอะไรที่หลุดรอดตะแกรงกฏหมาย ผิดกับพ่อของจงซูที่ความเดือดดาลของเขาในฐานะทาสรับใช้ระบบเสรีนิยมใหม่ถึงจุดระเบิดและทนไม่ได้อีกต่อไป สถานะของชนชั้นนำใน Burning จึงทำหน้าที่ในการพิพากษาทั้งที่เป็นรูปธรรม (ที่เกิดกับพ่อจงซู) หรือเป็นนามธรรม (การเล่นของเบน)
การบอกว่าอะไรมีอยู่ มีตัวตน หรือล้มหายตายจากไปราวกับไม่เคยมีอยู่ อย่างโรงนา แสงสว่างเรืองรองในห้องอับชื้นของแฮมี บ่อน้ำที่เธออ้างว่าเธอเคยตกลงไปและจงซูเคยช่วยเธอไว้ ใบหน้าของเธอที่เธออ้างว่างผ่านการทำศัลยกรรม (คือเอาจริงๆ เราอาจจะบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแฮมีที่เราและจงซูเห็นคือเพื่อนของเขาจริงๆในอดีต) แมวชื่อบอลย์ ส้มในจินตนการ ชนเผ่าในแอฟริกา นาฬิกาลุ้นโชคสีชมพูที่บอกไม่ได้ว่าเป็นของแฮมีจริงๆ เพราะเพื่อนพริตตี้เธอก็ใช้เหมือนกัน แฮมีหลังจากที่เธอหายตัวไป สัญลักษณ์เหล่านี้ขับเน้นภาวะการมี หรือไม่มี มันเป็นความไม่แน่นอนของสถานะผู้คนในสมัยทุนนิยมตอนปลายอย่างที่ Manuel Castells บอก
และนี่ยังให้ความรู้สึกถึงความจริงกับไม่จริง หากมองด้วยแนวคิดที่ Postmodernism ที่ความจริงไม่มีอีกต่อไป ภาพยนตร์ที่ทำให้เราถึงเมื่อดู Burning คือ L'Avventura (1960) ของ Michelangelo Antonioni อาจจะด้วยฉากการเต้นรำล้อเลียน ชนเผ่าแอฟริกาซึ่งเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ของชนชั้นนำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็มีคนวิพากย์การเปิดการค้าและการเงินเสรีนำมาซึ่งการก่อตัวของรูปแบบของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เป็นสภาวะอาณานิคมใหม่ (New Colonialism) ดังนั้น Burning จึงกลายเป็นการเล่าถึงชนชั้นแรงงาน ต่างจากนิยายและ L'Avventura ที่นำเสนอชีวิตของชนชั้นกลาง-สูง ในยุคที่พวกเขาถูกล่าพื้นที่ทำกินอีกครั้ง
หรือแม้กระทั้งตอนจบของเรื่องจงซูลงมือเขียนนิยาย? ในห้องของแฮมี ตัดไปที่ภาพชีวิตของเบน ใส่คอนแทกเลนส์หน้ากระจก หอบเอาเครื่องสำอางไปแต่งหน้าให้ผู้หญิง ซึ่งเราเองก็บอกไม่ได้ว่าภาพที่เราเห็นคือความจริงหรือไม่ มันอาจเป็นเรื่องในนิยายของจงซู นั่นรวมไปถึงฉากจบที่เขาหยิบมีดในหีบตู้เซฟของพ่อมาระบายความเคียดแค้น นี่อาจเป็นเรื่องจริง หรือแค่ความพยายามจะเอื้อมไปถึงชนชั้นสูง เป็นแค่ความพยายามของเขาที่ได้ขับรถหรูไปชมวิวทะเลสาปที่สร้างขึ้นบนภูเขาสูงที่เบื้องล่างเป็นที่ทำงานของคนชั้นแรงงาน
มีดที่เป็นมรดกของชนชั้นล่าง ส่วนเครื่องแต่งหน้าคือสิ่งที่ตกทอดของชนชั้นนำ ความรุนแรงคือภาพจำของพวกทาสแรงงงาน ส่วนการมีชีวิตที่ปกปิดซ่อนเร้นและสวยงามของชนชั้นนำคือสิ่งที่เขาสืบเชื้อสายเจตนารมย์กันมา
เบนกลายเป็นบุคคลปริศนาที่ไม่ได้ถูกนำเสนออย่างไร้หัวใจ เขาดูมีปรารถนาในก้นบึ้งที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจน เขาพูดคุย ให้การต้อนรับขับสู้จงซู เขาต้องการเป็นเพื่อนจงซูหรืออะไรมากกว่านั้น ผู้หญิงของเบน ดูมีรั้วเขตแดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ เหมือนกับว่าพวกเธอมาเพื่อตอบความใคร่ใฝ่รู้อะไรบางอย่างของเบน เมื่อเสร็จสิ้น พวกเธอก็หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่ เบนคนที่ดูเพรียบพร้อมทุกอย่างในชีวิต แต่หนังก็ทำให้เรารู้สึกว่าเขาขาดอะไรบางอย่าง เขาต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นล่างหรือ เพื่ออะไรกัน ทั้งๆที่เขาก็หาวและยิ้มแก้เขิน มันจึงเป็นความกลวงเปล่าในภาพลักษณ์ที่ถูกปรุงแต่งอย่างงดงาม พร้อมๆกันนี่จึงเป็นความเศร้าของยุคสมัยที่แทรกซึมทุนชนชั้น ไม่เลือกสถานที่และเวลา อย่างที่ David Harvey ได้กล่าวไว้
ความแตกต่างระหว่างเกาหลีใต้และไทยก็คงเป็น Triumvirate ที่มีชนชั้นสูงที่สามารถปรับตัวให้รอดพ้นในยุคสงครามเย็นที่ระบอบของชนชั้นสูงในหลายๆประเทศล่มสลายลง แต่สำหรับองค์กรนี้ในไทยสามารถอาศัยเงื่อนไขในช่วงเวลาค่อยๆรื้อฟื้นอำนาจตัวเองท่ามกลางความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเศรษฐกิจและการเมือง เบเนดิกท์ แอนเดอร์สันเคยวิเคราะห์ว่าสถาบันนี้ต้องปรับตัวให้เข้ากับขบวนการชาตินิยมและอำนาจของชนชั้นพ่อค้าที่มากขึ้น อย่างไม่น่าเชื่อว่าองค์กรพิเศษนี้จะโดดเด่นและท้าทายด้วยการสถาปนาการเป็นกระฎุมพีอย่างแนบแน่นกับระบบ กลายเป็นพ่อค้าที่มีทุนมากที่สุดในประเทศไทย
John Gray เชื่อว่าลัทธิเสรีนิยมใหม่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของตลาดเสรีที่เป็นสากลในฐานะความฝันแบบใหม่ (new utopia)
เราต่างกำลังถูกเปลวไฟที่เหมือนจะเป็นพลังชีวิต แต่พร้อมๆกันเราก็ถูกมันแผดเผาอย่างไม่ปราณีกันถ้วนหน้า ทุกชนชั้น ทุกเวลา ไม่เลือกสถานที่ในกระแสเสรีนิยมใหม่นี้
หากใครที่ยังปฏิเสธไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัฒน์ มีชีวิตอยู่ด้วยการเบือนหน้าหนีความทุกข์ระทมของความไม่เท่าเทียม
นั่นก็เท่ากับว่าเขากำลังเร่งโหมให้กองเพลิงนี้ฌาปนกิจตัวเองดีๆ นี่เอง
Reference
- Korea Alliance against the Korea–US FTA (KoA), The struggle against neoliberalism in South Korea: history and lessons, 2007
- Andrea Germanos, Even the IMF—the IMF!—Turns on Neoliberalism, Common Dreams, 2016
- กุลลินี มุทธากลิน, ประเทศไทยกับเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ
- อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ, ประเทศโลกที่สี่กับปรากฏการณ์การประท้วงในเอเชีย วารสารสังคมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2557
- Phimmasone Michael Rattanasengchanh Thailand’s Second Triumvirate: Sarit Thanarat and the military, King Bhumibol Adulyadej and the monarchy and the United States. 1957-1963 2012
- นภนต์ ภุมมา ธนเดช เวชสุรักษ์ 20 ปีวิกฤตต้มยำกุ้ง มุมมองจากภาคเศรษฐกิจจริง ฟ้าเดียวกันปีที่ 15 ฉบับที่ 2 2560
- Thapiporn Suporn อาณานิคมใหม่ (New Colonialism) ระหว่างประเทศ, เศรษฐกิจ, โลกาภิวัตน์ 2010
- Wasan Panyagaew Neoliberalism and a Post Nation-State Era in Thailand
- ชัยธวัช ตุลาธน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระราชทรัพย์ยามผลัดแผ่นดินและรัฐประหารสองครั้ง ฟ้าเดียวกันปีที่ 15 ฉบับที่ 2 2560
- เชษฐา พวงหัตถ์ โลกาภิวัตน์ การเมืองแบบหลังสมัยใหม่ และการต่อต้านรูปแบบใหม่ 2016