Poetry (Lee Chang-dong, 139 min, 2010)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
...บทกวีมันคือสิ่งต่างๆและเหตุการณ์มากมายที่เราไม่อาจเห็นด้วยตา อาจกล่าวได้ว่ามันคือความจำเป็นของความงดงามและความหมาย โดยธรรมชาติแล้วมันก็มีเรื่องราวหลากหลายที่ปรากฎกันในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ฉากทีสำคัญในเรื่องก็ไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรม หากแต่ยังสอดรับกับความเป็นบทกวี นั่นเท่ากับว่าเป็นภาพยนตร์และบทกวีได้ถูกถักทอสอดประสานกันตลอดทั้งเรื่อง…
Lee Chang-dong ให้สัมภาษณ์ Christopher Bell ใน IndieWire ปี 2011
กีฬาแบดมินตันสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมเหนืออินเดียช่วงปลายศตวรรษที่ 19 การเล่นเป็นที่แพร่หลายในค่ายทหารที่เมืองมัทราส มุมไบ เปศวาร์ โกลกาตและปูเน เป็นกีฬาเพื่อความผ่อนคลายของทหารในเวลาว่าง
ทหารที่ปลดเกษียณก็ได้นำกีฬานี้กลับไปยังประเทศของตน สมาคมแบตมินตันแห่งอังกฤษก่อตั้งขึ้นในปี 1893 และเป็นที่นิยมอย่างในหมู่บ้านชนบท มากจนเกิดสมาพันธ์แบตมินตันนานาชาติ (IBF) ในปี 1934 โลกาภิวัตน์ได้พากีฬาชนิดนี้เข้ามาในเกาหลีใต้เกิดเป็นสมาคมในปี 1957 มีการสร้างสถาบันแบดมินตันเพื่อวิจัยทางสรีรวิทยา ชีวกลศาสตร์ จิตวิทยากีฬา สังคมวิทยา และวิศวกรรมของแบตมินตันโดยเฉพาะ
Poetry (2010) และ Beoning (2018) หนังสองเรื่องที่มีอายุห่างกันกว่าแปดปี โดยอีชางดงผู้เป็นทั้งนักเขียนนิยาย นักเขียนบทภาพยนตร์ ผู้กำกับหนัง และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ทั้งสองเรื่องต่างมีถ้อยแถลง พูดถึงสตรีชนชั้นล่างในสังคมเมือง หญิงวัยกลางคนที่ต้องเลี้ยงหลานชายที่ถูกทิ้งไว้ แถมเธอยังต้องทำงานดูแลคนพิการโรคหลอดเลือดสมองที่เป็นผู้ชาย แม้เขาจะใช้ภาษาลำบาก แต่ก็ยังน่าสนใจว่าการกดขี่ทางเพศที่เธอต้องพบเจอตลอดทั้งเรื่อง ชายพิการคนนี้ก็ยังสื่อสารความต้องการทางเพศของเขาได้
Poetry (2010) จึงเป็นการเผยโลกของในสายตาเพศหญิง ในขณะที่ Beoning (2018) เล่าถึงผู้ชายชนชั้นล่างในสังคมเมือง ชายหนุ่มเพิ่งออกจากค่อยทหาร จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่อาจการันตีความมั่นคงในชีวิตอะไรให้เขาได้เลย หนังจึงเป็นการเผยโลกของในสายตาเพศชาย หนังสองเรื่องนี้จึงเป็นภาพฉายของชะตากรรมร่วมของชนชั้นล่างที่พ่ายแพ้สังคมเมืองผ่านชายวัยเริ่มทำงาน (แต่ก็ไม่มีงาน) และหญิงที่ถึงเวลาเกษียณพักผ่อน (แต่ก็ยังไม่ได้พัก)
สิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเป็นเวทมนต์ที่เราเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ในทั้ง Poetry (2010) และ Beoning (2018) เช่น
- เสียงโทรศัพท์ดังแต่ป้า Mija เข้าใจผิดว่าเป็นของเธอในโรงพยาบาล - โทรศัพท์ที่ไม่มีเสียงคนโทรมาในบ้านของจงซู
- ฉากคนใส่ชุดสีดำเต้นรำกันเป็นกลุ่มประกอบดนตรีที่สถาบันศิลปะ (ที่ Mija ไปเรียนกวี) กับฉากเต้นรำท่าคล้าย Great Hunger ตอนที่จงซูตามหาแฮมีที่โรงเรียนสอนการแสดง?
- โทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวต่างประเทศน่าหดหู่ของแม่ที่เสียลูกชาย ก่อนที่ฉากถัดมา Mija จะได้เห็นกับตาเธอเองว่าอาการของแม่ที่เสียลูกสาวเป็นเช่นไร - โทรศัพท์ที่ทำเสนอข่าวโดนัลด์ ทรัมพ์ ในระหว่างที่จงซูนอนในบ้านที่มืดสนิด (ความเหินห่างระหว่างคนดูกับสิ่งที่อยู่ในโทรทัศน์)
- Mija จะชอบใช้รถประจำทาง เหมือนกับจงซู ฉากที่ตัวละครหลักทั้งสองเรื่องเดินลงจากรถประจำทางที่สถานีเพื่อกลับบ้าน
- Wook กับ Mija นั่งกินอาหารด้วยกันที่บ้านของยาย มีกิมจิเป็นกับแกล้ม เช่นเดียวกับจงซูที่กลับบ้าน (ที่ไม่มีพ่อแม่และพี่สาว) นั่งกินกิมจิคนเดียว
- ฉากที่ลูกสาวโทรหา Mija ไม่ติดในตอนท้ายเรื่อง - จงซูโทรหาแฮมีในตอนกลางเรื่องไม่ติดเมื่อเธอหายตัวไปอย่างปริศนา
- บ้านของ Hee-jin โคตรเหมือนบ้านที่จงซูเดินไปขอคำร้องศาลเพื่อลดโทษพ่อตัวเอง เหมือนมันเป็นมิติจักรวาลของหนังอีชางดง
- การมีอยู่ของสิ่งของต่างชาติในหนัง เช่น พิซซ่า แบดมินตัน ใน Poetry (2010) และดนตรีแจ๊ส พาสต้า ใน Beoning (2018)
- ชอบการโต้แบดมินตันของยายกับหลานชาย และถูกแทนที่ด้วยตำรวจชายในท้ายเรื่องมาก
- การหายตัวไปของ Mija ที่หนังก็ทำให้เราคิดว่าเธอน่าจะกระโดดสะพานเหมือน Hee-jin แต่หนังก็ไม่ได้ให้ข้อสรุปที่แน่นอน เช่นเดียวกับแฮมีที่หายไป หนังก็ทำให้เราคิดว่าเบนอาจจะฆ่าเธอ แต่เราก็ไม่อาจจะพูดเช่นนั้นได้อย่างเต็มปาก
Mija หญิงสูงอายุที่ลักษณะท่าทางเหมือนสาวน้อย และแฮมีเองก็ดูมองโลกด้วยสายที่ชื่นชมมัน ทั้งใสซื่อ อ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ (สีขาวในเรื่อง เช่นเดียวกับหมวกสีขาวของ Mija ที่หล่น และชุดนักเรียนของ Hee-jin) แต่ทั้งคู่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมที่กระทำโดยเพศชายคล้ายกับลูกแอพริคอตที่ต้องตกจากต้นบนพื้นดินที่สกปรกเพื่อได้เกิดใหม่ ความงดงามที่แท้จริงจึงไม่มี เพราะมันต้องปะปนกับความชั่วร้าย อัปยศ และความน่าเกลียด
ความตายของบทกวี แท้จริงแล้วมันไม่ได้ตายเสียทีเดียว อย่างในเรื่องก็ยังมีคลับของชนชั้นกลางถึงสูง แต่งตัวหรูหรา พวกเขาก็ยังเสพสมความงดงามของภาษาที่เสแสร้ง ประดิดประดอยถ้อยคำมาอวดเบ่งกัน หรือแม้กระทั่งเสียดสี พ่นคำพรุสวาสอย่างไม่ยางอาย
ดังนั้นบทกวีไม่ตายหรอก บทกวี เช่นเดียวกับภาพยนตร์ นิยายและการร่ายรำ (ถูกขับเน้นด้วยภาวะ Writer’s Block ของจงซูใน Burning) สิ่งเหล่านี้ก็ต่างเป็นสื่อกลางที่ไม่ว่าใครจะมาหยิบฉวยเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของตน อย่างชัดเจนว่าพอมันถูกเล่าด้วยภาษาชนชั้นนำในหนัง มันก็ถูกเล่าอย่างเพลิดเพลินแต่กลับกลวงเปล่า
แต่พอมันถูกเล่าด้วยคนที่ทุกข์ร้อน สื่อพวกนี้จึงเป็นเครื่องมือชั้นดีในการถ่ายทอดความเจ็บปวดได้สมจริงสมจัง อย่างความทรงจำที่กำลังหดหายสลายไปก่อนวัยอันควรจากโรคสมองเสื่อมถูกบันทึกจากความงดงามของธรรมชาติระหว่างเส้นทางชีวิตอันหม่นหมอง ถูกเอามาเล่าในตอนท้ายผ่านบทกวีของ Mija ที่เชื่อมประสานกับเสียงของ Hee-jin หรือชื่อในศาสนิกชนคือ Agnes หญิงสาวที่ต้องจากไปตั้งแต่วัยที่แรกเริ่มที่ได้รู้จักโลก ความทรงจำนอกกระแสของพวกเธอ ถูกขับขานโดยคุณครูในห้องที่แน่นขนัดไปด้วยคนชนชั้นกลางที่เวลาเหลือล้น อยากมาเรียนวรรณศิลป์ภาษา แต่สิ่งที่พวกเธอทำได้อย่างมากก็แค่เมาท์มอยเรื่องความสวยความงามก่อนเริ่มคลาส
ความน่าสนใจของ Poetry (2010) ก็คือ Mija เองที่เป็นชนชั้นล่างในสังคมเมือง (แม้ว่าเธอจะชอบแต่งตัว จนดูเหมือนคนมีฐานะ) แต่พอเธอได้ไปพบแม่ของ Hee-jin เธอกลับไม่อาจเข้าอกเข้าใจชาวนาได้ เหมือนกับเบนที่ไม่อาจเข้าใจจงซูทั้งที่พยายามเหลือเกิน (และจงซูก็ไม่อาจเข้าใจเบนได้ อย่างที่ตอนที่ตามเบนขับรถหรูขึ้นเขาวิบากอย่างไม่แคร์ราคารถ แล้วพบว่าเขาแค่ต้องการไปชมทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นบนยอดเขา) สถานะทางสังคมของ Mija จึงไม่ได้เท่ากับ Hee-jin แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกัน ความต่างตรงนี้เองจึงทำให้เสียง voice-over ในตอนท้ายไม่อาจแนบสนิทได้กลมกลืน แม้ว่าพวกเธอจะอยู่ในสถาะเหยื่อเหมือนกันก็ตาม
ส่วนการเริงรำของแฮมียามอาทิตย์อัสดงไปกับดนตรีแจ๊สของฝรั่ง ก็ต่างจากการเต้นของคนในโรงเรียนการแสดง และเช่นเดียวกับภาพในจินตนาการของจงซูในขณะที่เขาเขียนนิยายในห้องที่มืดและอับชื้นของแฮมี ฉากการเผาในท้ายเรื่องจึงบอกไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นจินตกรรมหรือความจริง ก็ต่างจากความพยายามของเบนในการอ่านวิลเลียม ฟอล์คเนอร์
การสร้างภาพยนตร์ของอีชางดง (นั่นรวมไปถึงบทกวีและนิยายในอดีตที่เขาผลิตขึ้น) จึงกลายเป็นการใช้สื่อเพื่อระบายความน้อยเนื้อต่ำใจและความสิ้นไร้ไม้ตอกของชนชั้นล่างทั้งชายหญิง และความเว้าแหว่งและตื้นเขินของชนชั้นกลางถึงสูงได้อย่างมีเลือดมีเนื้อ ดังที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“...ภาพยนตร์ยังมีลมหายใจนะ หนังจำพวก Avatar นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย แต่พร้อมๆกัน หนังบางประเภทก็กำลังจะตาย อย่างเช่นหนังที่ผมสร้าง หรือหนังที่ผมชอบดู เหล่านี้ต่างหากที่กำลังตายอย่างช้าๆ การดูหนังอย่าง Avatar นี่สูบชีวิตชิบหาย มันไม่ได้สะท้อนชีวิต โยนคำถาม หรือท้าทายอะไรผู้ชมเลย จริงอยู่ที่หนังพวกนี้มันทำให้วัฒนธรรมการดูหนังในโรงกลับมา แต่มันก็ต้องเป็นหนังสามมิติที่ต้องใช้เงินเยอะในการสร้าง หรือต้องมีเงินค่าโฆษณามากๆ เพื่อจะได้ติด blockbuster หนังที่มีกำลังน้อยก็มีโอกาสลดลง ในเกาหลีนะ หนังพวกนี้ (Avatar) ฉายทีเดียวแปดโรง ความดีความชอบของมันคือทำให้โรงหนังอยู่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน หนังประเภทอื่นก็หมดลมหายใจอย่างรวดเร็ว....”
ท้ายที่สุด เราต่างต้องร่วงหล่นและลอยค้างบนเกลียวกระแสธารอันเชี่ยวกรากนี้ สายนำ้จะนำเราไปสู่แห่งหนใด ไม่อาจล่วงรู้
รอคอยใครมาพบเราเข้า
Reference
- Lim Peng Han THE DEVELOPMENT OF BADMINTON AS A GLOBALISED GAME AND THE DOMINANCE OF CHINESE AND KOREAN FEMALE BADMINTON PLAYERS AND TEAMS IN UBER CUP COMEPETITIONS AND THE OLYMPIC GAMES: CHALLENGES FOR ASEAN COUNTRIES TO IMPROVE ELITE BADMINTON TRAINING TO COMPETE AND OVERCOME THESE LEADING PLAYERS AND TEAMS
- Lim Peng Han The Transformation and Development of Badminton as a Global Sport Dominated by
Asian Players, Teams, Sponsors and Brands, 1893-2012: Multidisciplinary Perspectives