App War แอพชนแอพ (ยรรยง คุรุอังกูร, 130 min, 2018)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
ใน Sojourning: The Chinese Experience in Southeast Asia-ของ Wang Gungwu ได้เล่าถึงสายตาของรัฐบาลจีนในคริสตศตวรรษที่ 19 มองชาวจีนโพ้นทะเลว่ามีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝง สถานะของพวกเขาตกอยู่เป็นผู้พำนักชั่วคราว และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้มาพำนักบ้านเกิดตัวเอง มีบ้านอีกหลังในดินแดนอื่น แต่ก็กลับมาจีนปีละครั้งสองครั้ง จนราชวงศ์หมิงมีนโยบายปิดประเทศพวกเขาเลยต้องเดินทางค้าขายในทะเลใต้
พอชาวตะวันตกเข้ามาหากินในเอเชียตะวันออก ชาวจีนก็ผันแปรตัวเอง จากเจ้าของกิจการเป็นพ่อค้าคนกลาง เจ้าภาษี หาแรงงานมาสนองธุรกิจของเจ้าอาณานิคม ซึ่งสุดท้ายแล้วเป้าหมายของพวกเขาก็คือการกลับสู่มาตุภูมิตนเอง
พอหลังจากในคริสตศตวรรษที่ 19 ชาวจีนส่วนใหญ่กลายเป็นแรงงาน ยังมีความเป็น Sojourner คือผู้พำนักชั่วคราวมากกว่า settlers พวกเขาก็มาหากินในเมืองที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต และให้กำเนิดลูกหลานที่เป็น settlers ผู้พำนักถาวรกลุ่มนี้ก็พร้อมจะเกิดการกลืนกลายทางวัฒนธรรม หรือมีความเป็นจีนลดลง
สังคมไทยก็เกิดจากการสร้างเอกภาพทางสังคมของรัฐ ในหมู่ชาติพันธุ์ย่อยๆมากมาย เกิดความสับสันทางคุณค่าสัญลักษณ์และความหมาย มีบรรทัดฐานมากมายมารองรับการกระทำของปัจเจค นำไปสู่การเกิด Multi standard society ซึ่งปัจจุบันก็ดูมีแนวโน้มที่ปัจเจคจะไม่ยึดมั่นในแบบแผนวัฒนธรรมอันใดอันหนึ่งเฉพาะ สามารถเลือกใช้เป็นครั้งคราว และตามวาระโอกาสได้
สังคมคนจีนภายใต้พระบรมโภธิสมภารอาจแยกจากคนไทยได้ยาก มีการผสมกลมกลืนของกันและกัน รัฐไทยเองก็ค่อนข้างเป็นตัวเอื้อให้เกิดการผสมผสานเป็นไปอย่างรวดเร็ว ช่วงแรกคนจีนก็ยังนิยมชมชอบกับวัฒนธรรมตนเอง อย่างเช่นก่อนคริสตศตวรรษที่ 20 ชายจีนอพยพเข้ามาในไทยมากกว่าผู้หญิง พวกเขามีโอกาสได้แต่งงานกับหญิงไทย
สมัยรัชกาลที่ 3 พวกเขาต้องมาทำอาชีพที่คนไทยมองว่าไม่มีเกียรติอย่างกรรมกรแบกหาม ส่วนคนไทยจะนิยมเป็นข้าราชการกับเกษตรกรรม สมัยรัชการที่ 5 มีปัญหากับชาวจีนเพราะพวกเขาเรียกร้องสิทธิและประท้วงการเพิ่มภาษีสำหรับคนต่างด้าว คนไทยมองว่าคนจีนเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ รัชกาลที่ 6 มีการพยายามสร้างรัฐชาติต่อจากพระบิดา มองว่าคนจีนครอบครองเศรษฐกิจมากกว่าคนไทย
จากเดิมวัฒนธรรมจีนที่แข็งขืนต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นผู้ชายเป็นใหญ่ สตรีได้รับการปฎิบัติอย่างต้อยต่ำ ขาดการมีส่วนร่วม ถูกเอารัดเอาเปรียบ การแบ่งอาวุโส ระบบกงสีในครอบครัวในการทำธุรกิจที่พ่อเป็นใหญ่ พอคนไทยมีโอกาสสัมพันธ์กันมากขึ้น
ในอดีตช่วงจอมพล ป. ตรงกับลูกจีนรุ่นสาม จะประสบปัญหาจากนโยบายนิยมชาติไทย ก็เป็นกระแสกดดันให้เยาวชนจีนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ สลายความเป็นจีน พร้อมๆกันก็มีการมอบสิทธิพิเศษให้กับคนจีนที่ยอมเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย คนจีนจำนวนมากยอมปรับตัวตามเงื่อนไขเพื่อประโยชน์ในการอยู่รอดและประกอบอาชีพ เช่นเดียวกับการบูรณาการด้านสังคม เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นมีการไหว้เจ้า แต่ก็เคารพพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ทำบุญตักบาตร อุปสมบท ทอดกฐิน พิธีกงเต็กก็มีการสวดแบบมหายานและเผาศพแบบเถรวาท ชาวจีนต้องยอมทิ้งเอกลักษณ์ชาติพันธุ์เกิด doulbe identity
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่คนจีนเลิกการฝังศพและฝังฮวงจุ้ยราคาแพงมาทำพิธีศพแบบไทย สกินเนอร์มองว่า นี่ไม่ใช่เป็นแค่การถูกกลืนเพียงผิวเผิน แต่ยังลงลึกไปถึงแก่นของสังคมจีน หรือแม้แต่การทีจีนรุ่นสามเกิดและโตมาในสภาพสังคมไทย แทบไม่มีคนพูดจีนได้ ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน สมาชิกรุ่นสองก็มักไม่ได้ฝึกภาษาจีนให้ แถมยังสนับสนุนให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษด้วย พวกเขาต้องการให้ลูกจบสูงๆ ให้ลูกเห็นคุณค่าของการเรียนเก่ง เรียนดีโดยการแข่งขัน ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเก่าๆ ที่ไม่ให้ลูกผู้หญิงเรียน ได้ก้าวหน้าในอาชีพการงานมากกว่ามาสืบทอดธุรกิจ อาชีพที่นิมให้เรียนก็คือ แพทย์ วิศวกร สถาปนิก ตำรวจ นักบัญชี
ผลที่เกิดขึ้นคือลูกคนจีนจะรู้สึกว่าตนเองอยู่บนทางสองแพร่ง เกิดมาบนสองวัฒนธรรม ในสังคมไทยที่ครอบครัวยึดวัฒนธรรมจีน ถ้าจะทิ้งธุรกิจพ่อแม่ ไปทำงานอิสระก็จะถูกมองว่าทิ้งขนบธรรมเนียม แต่ภาวะอิหลักอิเหลือนี้นับว่ายังดีเมื่อเทียบกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ที่ลูกจีนถูกยินยอมให้ผสมผสานกับวัฒนธรรมได้มากกว่า
สิ่งที่น่าสนใจคือพอระบบการศึกษาภาคบังคับของรัฐไทยเข้ามา ลูกจีนก็เข้าเรียนออกจากแวดวงครอบครัวจีน โรงเรียนได้ทำให้เรียนรู้และหันเหจีนสัญชาติไทยออกไปจากแบบแผนเดิม ลูกจีนเหล่านี้ที่เรียนได้ดี ก็จะได้รับการสนับสนุนและเป็นแรงกระตุ้นให้เข้าสู่ระบบราชการ ค่านิยมทางสังคมยกย่องคนมีการศึกษาสูงมากกว่าอาชีพค้าขาย อาชีพราชการเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา สิ่งเหล่านี้นับเป็นความสำเร็จ มิได้ถูกมองว่าเป็นผลเสียต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขา ตามแนวคิดที่ว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง”
คนไทยจีนก็พร้อมรับอุดมการณ์ทุนนิยมตามกระแสเสรีนิยมใหม่จากอเมริกาตามคนไทยที่เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมธุรกิจและพัฒนาประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของ globalization ทำให้คนจีนและไทยมีความเป็นสากลมากขึ้น คนจีนและลูกหลานรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชาติ เป็นส่วนหนึ่งของเข้าของประเทศนี้ใต้พระบรมโพธิสมภาร
แนวคิดของสกินเนอร์ที่มองว่ารุ่นชาวจีนอพยพมาอยู่ไทยน้อยลงจากเสียชีวิต ชุมชนชาวจีนไทยจะแตกสลายและถูกกลืนเข้าสู่วัฒนธรรมไทยจนหมดสิ้น แต่ศศิวิมล มองว่าในบางสถานการณ์พวกเขาก็ยังมีการระบุตัวตนว่าเป็นคนจีน เอกลักษณ์ของคนจีนจะสามารถทวนกระแสและไม่ผูกตายกับวัฒนธรรม ชุดใดชุดหนึ่ง ไม่มีชาติพันธ์ุใดที่จะละทิ้งเอกลักษณ์ของต้นไปได้อย่างสิ้นเชิง
ตัวละครในเรื่อง App War น่าจะอยู่ในช่วงเจนเนอเรชั่นวาย หลายคนดูจากใบหน้าน่าจะเป็นลูกหลานเชื้อสายจีน ซึ่งพวกเขาถือเป็นกำลังหลักขององค์กรต่างๆ เติบโตมาในยุคที่มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง และความเจริญทางเทคโนโลยีมาก การเดินทางที่รวดเร็ว (แต่ในภาพก็แสดงถึงปัญหารถติด) มีการดำเนินชีวิตรวดเร็ว และเป็นตัวของตัวเองสูง ทำอะไรท้าทาย และอยากรู้อยากเห็น ต้องการการยอมรับ อ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยของสานิต สิ่งที่ยังคงเหนียวแน่นในชาวไทยเชื้อสายจีนเจเนอเรชั่นวายคือการที่ชาวจนปลูกฝังความกตัญญูให้กับลูกหลาน จูน เป็นตัวแทนของลูกหลานคนจีนสัญชาติไทยยุคปัจจุบันได้อย่างดี เธอได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษา จนดูเหมือนจะมีหน้าที่การงานที่ดี เธออยากมีชีวิตที่อิสระจากครอบครัวที่พ่อเป็นใหญ่ การต้องไปรับผิดชอบิจการที่บ้าน เธอจึงเลือกและทำงานด้านธุรกิจ แต่แล้วเธอก็ค้นพบว่ายังต้องอยู่ภายใต้หัวหน้าบริษัทที่เป็นคนจีนสัญชาติไทยรุ่นพ่อแม่เธออยู่ดี
สตาร์ทอัพธุรกิจสายพันธุ์ใหม่จึงดูเหมือนเป็นทางออกของเธอ แต่หนังก็นำเสนอว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องไปขอทุนในการทำธุรกิจที่ผูกโยงกับผู้ให้ทุนที่เป็นคนจีนรุ่นพ่ออยู่ดี ต่อมาเธอก็หันไปขอทุนใหม่จากแทนไท เจ้าของสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ จนนำไปสู่เรื่องราวการแข่งขันสีเทา เพื่อชัยชนะที่ได้รางวัลเป็นทุนในการทำธุรกิจและการได้เป็นเจ้าของกิจการ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร
ผลลัพธ์ที่ได้คือความสัมพันธ์อันร้าวฉานของคู่บอมบ์และจูน รวมไปถึงชีวิตของอีกหลายๆคน (ซึ่งแบ่งเป็นสองทีม Inviter ฝ่ายชายนำโดยบอมบ์ ไต๋ และบิ๊วด์ผู้พ่นคำเยียดเพศได้ตลอดเวลา ส่วนอีกทีม Amjoin คือผู้หญิงและ queer) ที่ดำเนินไปอย่างผิดทิศผิดทางจากที่เคยวาดฝันไว้
บอมบืและจูนกลับเข้าสู่การเป็นแรงงานภายใต้ระบบทุนนิยมอีกครั้ง เขาไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่มีชีวิตรุ่งโรจน์จากแอพลิเคชั่นหาคู่ (จากตอนแรกที่อยากทำแอพสร้างสัมพันธ์มนุษย์แบบ queer) เขายิ้มเจื่อนๆ ให้กับสภาพของตัวเองในปัจจุบันที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเอง
หากมามองย้อนไปการพยายามหลุดพ้นจากธุรกิจหรือภาพจำของครอบครัวจีนในฐานะเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ออกจากการครอบงำของพ่อแม่หรือหัวหน้าบริษัท แล้วหันหน้าสมาทานธุรกิจดิจิตัล แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังวนเวียนในระบอบทุนนิยมอยู่ดี แทนไท ชายหนุ่ม ไอดอลและเจ้าของสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ อาจจะเป็นตัวแทนของหัวหน้า “บริษัทแบบใหม่” ที่กำลังใช้แรงงานพวกไม่ต่างจากเป็นลูกน้องอย่างกลมกลืนเสียจนพวกเขาไม่รู้ตัวก็ได้
App War ไม่ได้ฉายภาพของความพยายามหลุดพ้นของชนชั้นแรงงานทุนนิยมที่แท้จริง ภาพออฟฟิศที่สวยงาม เครื่องมือทันสมัย เทคโนโลยีราคาแพง เหล่านี้ล้วนเกิดจากที่พวกเขามีต้นทุนทางสังคมจากการเป็นลูกหลานคนจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ บอมบ์ จูน และเพื่อนๆ ที่มีเสื้อผ้าราวกับหลุดมาจากห้องเสื้อหรูหราไฮแฟชั่นเหล่านั้น การที่พวกเขาพ่ายแพ้จากการเสี่ยงทำธุรกิจ ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอันใดนัก นี่จึงไม่มีอาจเป็นภาพแทนของชนชั้นแรงงานที่ทุกข์ระทม ไร้ต้นทุนที่เท่าเทียมและหลักประกันชีวิต
App War จึงเป็นได้เพียงภาพในความฝันอันละเมอเพ้อพกของลูกชั้นชนกระฎุมพีระดับเศรษฐีจำนวนน้อยนิดบนผืนแผ่นดินอันแร้นแค้นนี้
Reference
- สานิต ศิริวิศิษฐกุล การธํารงอัตลักษณของชาวจีนเจนเนอเรชั่นวายในยานไชนาทาวนเยาวราช 2557
- พิณวิไล ปริปุณณะ การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของคนจีนในไทย : กรณีศึกษาตัวละครคนจีนอพยพในนวนิยายลอดลายมังกร 2555
- ศศิวิมล ศรีวิโรจน์มณี บทบาทของครอบครัวไทยเชื้อสายจีนในการอบรมเลี้ยงดูบุตร : กระบวนการการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมชุมชนคลองคูเมืองเดิมสามแพร่ง 2543