Faculty of Medicine, KKU (Kridpuj Dhansandors, 3,153,600 min, 2013-2019)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
กำลังเขียนถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาหกปีในรั้วเรียนแพทย์ขอนแก่น ตอนนี้นั่งอยู่ริ่มหาดทุ่งวัวแล่น พระอาทิตย์กำลังมุดหายที่สุดขอบฟ้าจรดกับท้องทะเล เสียงเกลียวคลื่นซัดสาดไม่รู้จบ มันทิ้งช่วงห่างอยู่เหมือนกันกับความรู้สึกในวันนั้น วันศุกร์ที่ผ่านมา ณ ห้องมอดินแดง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน ห้องที่เต็มล้นไปด้วยเรื่องราวมากมายเกินจะกล่าวถึง
ไม่เคยคิดจะเรียนหมอ นี่คือคำที่เราบอกกับรุ่นน้องหลายคนที่เข้ามาถามถึงประสบการณ์การสอบเข้าแพทย์ ชีวิตการเรียนนับตั้งแต่ประถมฯ จนถึงมัธยมปลาย เท่าที่เราจำได้คือมีเพียงแค่การตั้งใจทำข้อสอบ เลข วิทยศาสตร์ สังคมฯ ภาษา ให้ได้เยอะ มีคติเตือนใจตอนนั้นคือการทำอย่างไรก็ได้ ให้ได้คะแนนสูง แล้วเราจะมีโอกาสเลือกเยอะ ซึ่งถามว่าเลือกอะไรก็ไม่รู้เลยจริงๆ เคยไปเข้าค่ายโอลิมปิกวิชาชีววิทยา เห็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการยาวเหยียด เท่เสียเหลือเกิน อยากเป็นอยากมีอย่างเขาบ้าง แต่พอมาคิดดูแล้ว การเรียนอะไรด้านเดียวสำหรับเรามันคงเครียดเกินไป แถมสายวิชาการก็ไม่ถูกสนับสนุนเท่าที่ควรในประเทศสารขันนี้
มัธยมฯ หกเลยตัดสินใจว่าจะเข้าสอบเภสัชฯ ม. ขอนแก่น เพราะมีญาติสอบได้ เภสัชฯคงเป็นอาชีพที่มั่นคง ไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่กลายเป็นว่าพอสอบแพทย์ขอนแก่นสนามแรก ค่าสอบราวห้าพันกว่าบาท ดันสอบติดเสียนี่ จำได้วันนั้นลุ้นจนตัวโก่งถึงแม้จะไม่คาดหวังอะไรมาก เห็นประกาศก็รีบบอกแม่ บอกครูแผน ครูสอนเลขที่เคี่ยวเข็นเรามา ความดีใจตอนนั้นเอาจริงๆ มันก็กลวงเปล่ามากๆ มันดีใจที่สอบติดเฉยๆ แต่ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะต้องเจออะไร
นักเรียนมัธยมฯ ปลายที่ชีวิตมีอยู่แค่บุรีรัมย์และโคราช (เพื่อเข้ามาเรียนทุกวันศุกร์ กลับบ้านวันอาทิตย์) เข้ามาสอบสัมภาษณ์ที่ตึกเวชวิชาคาร ม.ขอนแก่น จำได้ว่าพักที่โรงแรมพ.พาน พ่อแม่ชอบมาพักที่นั่นถ้าได้มาเยี่ยมเรา จนช่วงหลังโรงแรมสร้างลิฟต์แล้วอัพราคา พ่อแม่เลยหาที่พักแหล่งอื่น
อาจารย์ที่สัมภาษณ์จำหน้าแทบไม่ได้จริงๆ แต่มีเหมือนเป็นนักจิตวิทยาถามคำถามว่าทำไมเราถึงอยากเข้ามาเรียนแพทย์ เขาคงถามคนเกือบร้อยในวันนั้น และต้องเจอกับคำตอบเป็นชุดซ้ำๆ กัน ตามประสาเด็กเนิร์ดที่ไม่ประสีประสาโลก และแทบไม่รู็อะไรเกี่ยวกับการเป็นแพทย์ “ผมอยากช่วยเหลือคน”
ชีวิตของนักเรียนที่สอบติดแพทย์ตั้งแต่ช่วงต้นม. 6 นี่มันสวรรค์ชัดๆ ไม่ต้องกังวลอะไรกับชีวิตอีกแล้ว (เหรอ) เที่ยวเล่น เมาท์มอย ใช้จ่ายเวลาในช่วงสุดท้ายกับเพื่อนๆ อย่างอิ่มเอมปรีดา เราลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมเรียนแพทย์ ในระหว่างนั้นเองผลก็ประกาศว่าเราผ่านรอบสัมภาษณ์ ตอนนี้ก็มีแค่รอเข้าเรียนเท่านั้น
พอได้เรียนเท่านั้นแหละ ต้องมาอยู่หอพักกับเพื่อนที่ไม่รู้จักมาก่อน ออฟเต้ ทักเรามาตอนช่วงไปสอบสัมภาษณ์ นักเรียนผู้สนใจธรรมะ มาจากอุบลฯ กลุ่มคนจากโรงเรียนเบญฯนี่ใหญ่หลวงมาก พวกเขาเป็นกลุ่มก้อนกันไม่ต่างจากตอนมัธยมฯ เราเองเสียนี่ที่ผลัดถิ่นมาไกล เด็กในเมืองบุรีรัมย์ก็ไม่ใช่ เราไม่อาจเชื่อมโยงอะไรกับอีสานส่วนอื่นของภูมิภาคได้เลย ครอบครัวฝั่งแม่พูดเขมรถิ่นไทย ส่วนพ่อพูดทองแดงชุมพร แต่พอในบ้านทุกคนพูดไทยกลาง เรากลายเป็นลูกผสมที่ถูกทำให้เป็นไทยกลางอย่างที่รัฐไทยต้องการ
แต่นับว่าเป็นโชคดีมากที่กลุ่มอุบลโรงเรียนเบญฯ เขาใจดี เราสนิทสนกับพวกเขาพอสมควรจนในระดับที่มีเพื่อนบางคนในคณะคิดว่าเรามาจากโรงเรียนเบญฯ พลอย โตไท ภูมิ เปา เกม คนเหล่านี้เรายัจดจำเขาในตอนปีหนึ่งพาเราเข้ากิจกรรมมากมายนับตั้งแต่ตีฉิ่งในวงดนตรีไทย ไปจนถึงเต้นสลาตันเชียร์กีฬาน้องใหม่ การเต้นตอนปีหนึ่งนี่เองมันเป็นกลไกในการปลดปล่อยของเราอย่างหนึ่งเหมือนกัน เราไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ตลอดการเรียนตั้งแต่ประถมฯ จนสอบติดแพทย์ จำได้ว่าเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก มีแต่คนทักเรา แต่สำหรับเราแล้วตอนนั้นมันก็เป็นเพียงการระบายพลังงานในร่างกาย คืนที่ไปเชียร์บาส รู้สึกจะเป็นคณะแพทย์แข่งกับวิศวะฯ จำไม่ได้ใครแพ้หรือชนะ แต่น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่นี่จดจำที่สุดของตอนปีหนึ่ง
ฟ้า เต็นท์ คู่รักที่เราเห็นมากันตั้งแต่ปีหนึ่ง พวกเขาเกื้อหนุนเราเป็นอย่างดีมาตลอด ถ้ายังจำได้ ฟ้า เราและจูหลิง ตั้งวงดนตรีเล็กๆ ร้องกันตอนงานราตรีปีหนึ่งกัน เพลงฤดูที่ฉันเหงา ร้องกันวงแรก ไม่มีใครมาฟังเพราะเขาไปถ่ายรูปกันหมด แต่เราก็สนุกมาก ซ้อมกันอยู่ที่หอแพทย์สามที่ตอนนี้ปิดปรับปรุงไปแล้ว
เราตั้งคำถามกับเป้าหมายการเรียนแพทย์ของเราตอนช่วงเรียนปีหนึ่งเทอมสอง วิชา Life and Life Cycle 2 ในวิชานี้เองมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวข้องกับจิตเวชศาสตร์ซึ่งเราสนใจ เราพยายามอ่าน แต่เกรดก็ออกมาปานกลาง เราเริ่มไม่มีความสุขกับการเรียนเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าพยายามไปทำไมไม่ได้เท่าเพื่อน เอาจริงๆ เข้ามาเรียนแพทย์นี่คาดหวังกับตัวเองเยอะมาก อยกได้ดิบได้ดี เกียรตินิยมเหรียญทอง แต่แค่ปีหนึ่งก็ไม่สนุกแล้ว คนเก่งๆ มีอีกเยอะมาก เราเลยหันมามองว่า แล้วอะไรจะทำให้เราเรียนต่อไปได้จนจบหกปี จุดนี้เองเป็นจุดที่เราเริ่มศึกษาสิ่งที่อยู่นอกหลักสูตร
พอปิดเทอมอาเซียนช่วงปีหนึ่งขึ้นปีสอง มันว่างมากจนไม่มีอะไรทำ นักศึกษาแพทย์พอไม่มีการสอบ ไม่มีใครสอน มันกลายเป็นไม่มีคุณค่าอะไรในชีวิตเลย เกมเราก็เล่นไม่สนุกอีกแล้ว ก็เลยหาหนังมาดู ไปยืมน้าซึ่งย้ายกลับมาอยู่ที่อ. ประโคนชัย เขาชอบดูหนังแปลกๆ ก็ไปขอมาดู พอดูไปเรื่อยๆ ก็สนุกดี หาอ่านประวัติหนังและวิจารณ์ของหลายๆคน อ.ประวิทย์ ชญานิน Filmsick ก็เริ่มคิดว่าการดูหนังมันมีอะไรเยอะมากจริงๆ ตอนนั้นรู้สึกจะได้ดูแสงศตวรรษแล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล
พอมาปีสองก็เข้าสู่การเรียนวิชาเตรียมคลินิกอย่างจิงจัง มันก็เริ่มหนักขึ้นอย่างชัดเจน เรียนกับร่างอาจารย์ใหญ่ ตอนแรกๆ ก็กลัวอยู่ แต่เรียนไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร คิดว่ามันเป็นกระบวนการหนึ่งในการทำให้แพทย์มองมนุษย์เป็นการประกอบสร้างของระบบกลไก แต่ความรู้สึกมักจะถูกละเลยจากการมองผู้ป่วย เราเริ่มฉายหนังให้เพื่อนดู เรื่องแรกคือ The Tale of Princess Kaguya จากการฉายเถื่อนๆ เพราะมันไม่เข้าขอนแก่น และก็เขยิบมาฉายหนังจากพี่ดา Documentary Club เรื่องแรกเลยคือ Gayby Baby ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของแพรว ส้มโอ เจบี และมีพี่ Sirin ช่วยกันทำผ่านเพจ “เข้าขอนแก่นเถอนะอยากดู”
เราทำจริงจังมากขึ้น ตั้งชุมนุมดูหนังในคณะ มีอาจารย์ต้องเป็นที่ปรึกษา เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอาจารย์แพทย์ที่เปิดกว้างให้เราทำกิจกรรม ฉายมาเรื่อยๆ The Hunting Ground Burning ก็ได้ชวน อ.ต้นมาคุย พอทำในคณะไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกว่ามันมีขีดจำกัดของมันอยู่ เลยเริ่มออกไปทำนอกคณะ ร่วมกับศิลปกรรม กับปอนด์ และน้ำค้าง กับพี่ชาย และ Filmvirus กับอ.ถนอม กับอ.นิพนธ์
พอขึ้นคลินิกการเรียนก็เปลี่ยนไป เราเรียนจากคนไข้ ขึ้นวิชาแรกคืออายุรกรรม เจอ อาจารย์ที่โหดมากๆ คือ อ.ศิริรักษ์ และอ.เซี๊ยะ แต่พอจบวิชามันก็จะเป็นอารมณ์ no pain no gain ตอนนั้นเราอินมาก อินกับการดูแล คนไข้ของอาจารย์ ตอนปีห้าพอมีเวลาว่างเลยได้ ทำละครเวที ลิขิตชีวิต มีก๊อบแก๊บเป็นผู้กำกับ ตองดูแอคติ้งกับภูมิ ก็สนุกมาก ได้รู้จักน้องๆ จำได้ว่าพอจบกองละคร ขี่รถเครื่องกลับมาหอ ร้องไห้เลย
พอมาปีหก กลัวมาก กลัวจะไม่รอด ไม่คิดว่าตัวเองจะโตขนาดนั้น ตอนนี้ผ่านมาได้ก็ไม่เท่าไหร่ สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะเรียนที่โรงพยาบาลศรีฯ แล้วเราก็เป็นพวกดวงไม่ค่อยเยิน ชีวิตเลยสบายนิดหนึ่ง มีเวลาไปโปรเจคขอนแก่น แมนิเฟสโต้ และงานฉายหนังอีกมากมาย ปีเดียวที่เราเข้าวงการศิลปะ ได้เจอคนเยอะมากๆ เป็นวงการที่มีแต่คนใจดี
เอาจริงๆช่วงปลายปี 5 เพื่อนๆ รพ.ศรีฯ ก็จะเริ่มคุยกันแล้วว่าจะเรียนอะไรกันต่อ เพราะสำหรับนักศึกษาแพทย์การได้เรียนต่อคือความสำเร็จของชีวิต วันปัจฉิมนิเทศมีหมอนักพูดสองคนที่พูดทำนองว่าดีใจกับคนที่ได้เรียนต่อ และเสียใจกับคนที่ต้องออกไปใช้ทุน การใช้ทุนถูกทำให้เสมือนเป็นผู้แพ้ เพื่อนๆ ก็เริ่มเกิดวิกฤตชีวิตว่าตนเองจะเอายังไงต่อ ตัวเองชอบอะไร เรียนมากำลังจะจบอีกหนึ่งปี เราจะฝากเส้นทางชีวิตไว้กับโรงเรียนแพทย์ที่ไหน นั่นเพราะชีวิตเราไม่เคยมีอะไรเลยนอกจากการเรียนคุณค่าของเราที่ผ่านมามันถูกผูกไว้กับการเรียน ผลเกรด พอเรียนจบแล้วยังไงต่อกันละคราวนี้ ชีวิตเราจะไปผูกติดกับอะไร เราจะกล้าก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซนหรือไม่ เราจะกล้าไปเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นักศึกษาหรือไม่
เราที่สนใจจิตเวชฯมาตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสอง แต่หลังจากไปฝึกงานและเห็นการทำงานของจิตแพทย์เลยยังรู้สึกว่าไม่ใช่ชีวิตที่เราใฝ่หา เลยเบี่ยงเส้นทางเดินกระทันหันมาเวชศาสตร์ครอบครัว ด้วยอุดมการณ์ที่เราชอบด้านมนุษศาสตร์ แต่พอไปสมัคร อาจารย์ก็ไม่รับ ก็เลยแอบไปสมัครพยาธิแพทย์ เขาก็ไม่รับอีก ตอนนั้นคิดบ้าๆ แค่ว่าฉันขอทำงานในโรงพยาบาลแบบไม่ต้องอะไรมาก ทำงาน 8 โมง เลข 4 โมงเย็น กลับบ้านแล้วไปมีความสุขนอกโรงบาลเอาดีกว่า
แต่มาคิดตอนนี้คือดีใจมากที่ไม่มีใครรับเราไปเลย ตอนนั้นเราก็ส่งอีเมลหาอ.โกมาตรเป็นทางเลือกสุดท้ายในชีวิต กว่าอาจารย์จะตอบกลับมาก็น่าจะ 9 เดือนได้ ซึ่งช่วงนั้นเองเราก็ต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก ทั้งไปฝึกงานเวชศาสตร์ครอบครัวที่บุรีรัมย์ บ้านเกิด ก็ยังไม่ค่อยลงตัว จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่สมัครอะไรเลยดีกว่า คิดไปแล้วตัวเองตอนนั้นมันเหมือนจมน้ำทุรนทุราย พยายามจะหาอะไรยึดเหนี่ยว แท้จริงแล้วมันก็คือการที่เราคิดไปเอง ชีวิตเราหาจบสิ้นที่การได้เรียนต่อกับไม่ได้เรียนต่อจริงหรือ แล้วชีวิตเรามีทางเลือกอื่นอะไรอีกได้บ้าง
พอมองย้อนไปตอนนี้การเขียนวิจารณ์หนังนี่เป็นอะไรที่มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากๆ มันเปิดโลกทัศน์สุดๆ เพราะโรงเรียนแพทย์ไม่ได้สอนสังคมศาสตร์ มนุษยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ อะไรให้เรามากนัก ซึ่งเรามองว่ามันจำเป็นมากๆ อ.โกมาตารเล่าให้ฟังว่า มีอาจารย์สังคมวิทยาที่แคนาดา เขาสอนนักศึกษาทุกปี อ.โกมาตร ถามเขาว่าถ้าให้คุณเลือกวิชาที่จะสอนนักศึกษาแพทย์หนึ่งอย่างคุณจะเลือกอะไร อ.ตอบมาว่าจะสอนประวัติศาสตร์ เพราะการเรียนพวกนี้มันทำให้แพทย์ไม่หยิ่งผยองในความรู้ของตน แพทย์จบไปจะมีอำนาจมาก แต่มักจะถูกนำไปใช้ นำไปบริหารอย่างไม่รอบคอบ พอเขียนวิจารณ์หนังรวมถึงฉายหนังก็เลยทำให้ได้รู้จักพี่เก้ หมอการันต์ หมอนิล หมอลำแบงค์ พี่ฟาง น้องโดม หมอบอม อ.ประทีฟ อ. Wanapon พี่เจี๊ยบ พี่เจ้ย และสุดท้ายทำให้เรารู้จักอาจารย์โกมาตร การได้อ่านบทความของอาจารย์ก็สร้างมุมมองใหม่ๆ ให้กับเราในการมองโลก
“...ลาแล้วขอนแก่นแดนเคยสุขสันต์ แพทยศาสตร์สัมพันธ์มั่นในน้องพี่…” เป็นเพลงที่เราถูกบังคับให้ท่องร้องเพื่อสอบให้ผ่าน รุ่นพี่ถึงจะยอมรับเราเป็นรุ่นน้องตอนปีหนึ่ง เราคิดเสมอว่าเพลงนี้มันโคตรเศร้า และนึกสภาพตัวเองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรถ้าต้องร้องเพลงนี้ในวันจบการศึกษา แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ณ ห้องมิตรภาพ ห้องที่เป็นทั้งงานเลี้ยงฉลองของนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ ห้องสอบบูม MED ห้องซ้อมกิจกรรม ห้องจัดกิจกรรมรับน้อง ห้องจัดงานเฟรชชี่ปีหนึ่ง ห้องจัดงานบายศรีสู่ขวัญทั้งขามาขาไป ห้องนี้มันบรรจุอัดเอาความทรงจำหลากสีสันไว้ พอเพลง “ลาแพทยศาสตร์ศรีนครินทร์” ดังขึ้น ในฐานะหนึ่งในสตาฟคุมร้องเพลง แน่นอนว่าเรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะมาถึง วันที่เราต้องแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง ตามทางที่ตัวเองลิขิตไว้
สถานะของเราก็เปลี่ยนจากนักศึกษาที่มีคนคุ้มกะลาหัว เป็นนายแพทย์หรือแพทย์หญิงที่ต้องตัดสินใจเอง แต่ความเป็นผู้เรียนผู้ศึกษาวิชาแพทย์แน่นอนว่าต้องเป็นตลอดชีวิต นับจากนี้เราก็ก้าวผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยาวนานกว่าเพื่อนคณะอื่น เราจบเป็นหมอความ Maturity ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเอาจริงๆแล้วน่าจะเทียบไม่ได้กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่จบมาก่อนหน้าเราสองปี แพทย์อาจะเป็นคนตัดสินใจคล่องแคล้วนในโรงพยาบาล อาจเป็นหมอที่เป็นที่พึ่งไว้วางใจของคนไข้ แต่พอนอกโรงบาลแล้วเราไม่ต่างจากผู้ใหญ่ตอนต้นที่ยังอาจติดหล่มอยู่ในความเป็นวัยรุ่นตอนปลายอยู่เลยก็เป็นได้
จนถึงตอนนี้อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้ จะได้ไปใช้ทุนที่ไหนไม่รู้ มีหลายคนอาจไม่ได้กล่าวถึง แต่ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ทั้งผ่านมา ผ่านไป ทั้งคนไข้ เพื่อนร่วมงาน และคนรู้จัก ทั้งที่ยังฝังแน่นในความทรงจำ หรืออาจร่วงหล่นจมหาย แต่ก็ผุดพรายขึ้นมาให้ย้อนนึกถึงได้เสมอ
แล้วพบกันใหม่ ที่ไหนสักแห่ง ที่เรายังจำกันได้เหมือนเมื่อวานเพิ่งได้พบกันครั้งแรก