Nervous Translation (Shireen Seno, 90 min, 2017)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
ก่อนหน้าสมัยของดูเตอร์เต้อากีโนที่ 3 ผู้ได้สร้างบรรยากาศทางการเมืองที่มั่นคงมากว่า 6 ปี ชัยชนะของเขาในปี พ.ศ. 2559 อำนาจของดูเตอร์เต้มิได้มาจากคนยากจน หากแต่มาจากชนชั้นกลางและชนชั้นนำที่หวาดกลัวต่อเสถียรภาพของตนเอง การบริหารงานของอากีโนที่ถูกมองว่าง่ายต่อการถูกแทนที่ด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพรรคพวกที่อ่อนแอ รวมถึงองค์กรอิสระต่างไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป
สิ่งที่แตกต่างกันเมื่อเทียบกับอากีโนคือดูเตอร์เตได้ใช้อำนาจของการเป็นประธานาธิบดีอย่างเกินขอบเขต รวมไปถึงการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาผูกสัมพันธ์กับจีนและทรัมพ์ รวมถึงการประกาศกฎอัยการศึกเช่นเดียวกับมาร์กอสในปี ค.ศ. 1972 สิ่งที่ล้มเหลวอย่างมากของพัฒนาการหลังยุคมาร์กอสคือการสร้างสถาบันที่แข็งแรงเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น ซึ่งนั่นเองเป็นโอกาสในการขึ้นสู่อำนาจของดูเตอร์เต เขาใช้คำพูดผ่านสื่อถึงคนค้ายาและผู้เสพยาที่เสื่อมทรามเพื่อเป็นการสร้างมวลชนสนับสนุนเขา
ตั้งแต่ที่ดูเตอร์เต้ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดการกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด เขานำเอากฎหมายโทษประหารชีวิตกลับมาได้รับความสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร มีการปราบปรามและผู้เสียชีวิตหลายพันคน นั่นรวมไปถึงว่ายังมีอีกหลายพันคนที่เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุ มีคนเสียชีวิตจากวิสามัญฆาตกรรมที่อายุน้อยที่สุด 5 ปี ด้วยการถูกยิงที่ศรีษะเมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2559
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งโดยประชาชนและไม่ได้ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ได้แก่การขับไล่มาร์กอสในปี ค.ศ. 1986 และเอสตราดาในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งจุดที่น่าสนใจคือมาร์กอสเข้ามาด้วยการเลือกผ่านระบบปกครองแบบเผด็จการ ในขณะที่มาร์กอสได้รับเลือกตั้งโดยถูกกฎหมาย ซึ่งความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร รวมถึงบาทหลวงคาธอลิกระดับสูงและนายทุน ต่างเป็นส่วนหนึ่งของการไล่แบบกระบวนการนอกกฎหมายของเอสตราดา
มีการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงระหว่างทักษิณและเอสตราดาตรงที่เขาต่างถูกชนชั้นนำในสังคมมีส่วนเกี่ยวข้องในการล้มล้าง ทักษิณสร้างความรักและผูกพันธ์กับฐานมวลชนเสื้อแดงและชนชั้นแรงงาน เช่นเดียวกับเอสตราดาที่เน้นนโยบายประชานิยม ซึ่งทั้งสองคนได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์ของประชาธิปไตยที่ว่านายกฯ ต้องมาจากการเลือกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญไม่พอ แต่ต้องมีธรรมาภิบาลร่วมด้วย ต้องไม่ทุจริตและอิงแอบกับกลุ่มทุนมากเกินไป
หากเทียบการพัฒนาประชาธิปไตยระหว่างฟิลิปปินส์กับไทยตั้งแต่อภิวัฒน์สยาม 2475 อาจเทียบได้กับการได้รับเอกราชปี 1946 จากอเมริกา ซึ่งผ่านผู้เรียกร้องที่เป็นกลุ่มชนชั้นมีการศึกษามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย ของไทยมีคณะราษฎรที่ต้องการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ฟิลิปปินส์กลับเกิดจากกลุ่มชาตินิยมที่พัฒนาตนเองตั้งแต่สมัยอาณานิคมสเปน ที่ต่อมาภายใต้การปกครองโดยอเมริกา
ในขณะที่เหตุการณ์เดือนตุลาทั้งปี พ.ศ. 2516 และวันวิปโยค พ.ศ. 2519 รวมไปถึงพฤษภาทมิฬ 2535 เมื่อเทียบกับการโค่นล้มมาร์กอสในปี ค.ศ. 1986 ล้วนเกิดการความต้องการของประชาชน ผ่านบทบาทของนักศึกษา กรรมกร สหภาพแรงงาน นั่นจึงมิใช่การต่อสู่เพียงลำพังของชนชั้นกลางอย่างกลุ่มนักศึกษา เพียงแต่ในเหตุการณ์พฤษภาฯ 35 จะมีบทบาทของชนชั้นกลางที่เด่นชัดมากกว่า หากแต่ในฟิลิปปนิส์ผู้เรียกร้องยังรวมไปถึงนักบวชและทหารที่ต้องการขับไล่เผด็จการ ต่างจากไทยที่ต้องการเอาทหารออกจากการเมือง
การเข้ามาของอเมริกาหลังอาณานิคมสเปนในปี ค.ศ. 1899 ได้สร้างระบบระเบียบใหม่ให้กับฟิลิปปนิส์เป็นอย่างมาก จากเดิมเป็นระบอบศักดินา การยึดครองที่ดินแสดงถึงอำนาจ มีศาสนาคริสต์คาทอลิกเป็นสื่อกลาง มีการให้สิทธิพิเศษกับชาวจีนเพราะสร้างประโยชน์ให้กับศาสนจักร เกิดเป็นชนชั้นพ่อค้านายทุน เป็นเจ้าของที่ดิน แต่พอหลังการปกครองโดยอเมริกา ได้ใช้ระบบคณาธิปไตยคืออำนาจอยู่ในมือของกลุ่มเจ้าของที่ลูกครึ่งเชื้อสายจีน และต่อมากลายเป็นผู้บริการประเทศ สุดท้ายแล้วการชนชั้นนำของฟิลิปปนิส์จึงวนเวียนอยู่กับกลุ่มตระกูลเดิมๆ
มาร์กอสได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้ามาเปลี่ยนฟิลิปปินส์เป็น The New Society ประชาชนคาดหวังอย่างมากว่าเขาจเป็นผู้มากอบกู้ประเทศจากการทุจริต ปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมกระทำในสิ่งที่ขัดกับนโยบายตนเอง อเมริกายังเข้ามามีอิทธิพลต่อการวางยุทธศาสตร์บริหารแม้ว่าจะประกาศเอกราชให้ฟิลิปปินส์ไปแล้ว เนื่องด้วยต้องใช้ฟิลิปปนิส์ในฐานะจุดที่คงไว้ซึ่งอำนาจของอเมริกาในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์จากโซเวียต
มาร์กอสได้ประโยชน์จากอเมริกาคือค่าเชื่อสนามบินราคาสูงมาก ให้แรงงานฟิลปปินส์เข้าทำงานในฐานทัพ (เหมือนค่ายรามสูรที่ จ. อุดรธานี) มาร์ส่งทหารเข้าไปร่วมรบที่เวียตนามเพื่อแลกกับเงินใช้ในการสร้างถนนและพัฒนาชุมชน หลังจากนั้นเองมาร์กอสสามารถปลดหนี้ให้กับประเทศได้ เปิดรับกองทุน IMF องค์กรที่มีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง มาร์กอสเอาเงินจากอเมริกาไปใช้หาเสียงจนหมดในสมัยที่สองและเขาได้รับเลือก ทำให้ต้องกู้เงินจาก IMF มาใช้บริหารประเทศ ร่วมกับกลุ่มทุนพวกพ้อง และนายทหารระดับสูงที่ใช้ชีวิตหรุหราไม่ต่างจากนายทุนและนักการเมือง
จนกระทั่งมีประชานต่อต้านจากเศรษฐกิจที่แย่ลง มาร์กอสประกาศกฎอัยการศึก ได้รับทุนสนับสนุน อาวุธจากอเมริกาในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ หลังจากการฆาตกรรมเบนิโญ่ อากีโน่กลางสนามบินนานาชาติมะนิลาได้นำไปสูการรวมตัวกันของประชาชนทุกฝ่ายเพื่อโค่นล้มเผด็จการ นำไปสู่การยุติการสนับสนุนของอเมริกา และการล่มสลาย มาร์กอสสามารถดึงเวลาเผด็จการให้อยู่ยาวนานถึง 21 ปี
Nervous Translation ภาพยตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 2 ของ Shireen Seno เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งปีหลังการโค่นล้มมาร์กอส เธออาศัยอยู่กับแม่ที่เย็นชา และเฝ้ารอการกลับบ้านของพ่อผู้ไปทำงานที่ตะวันออกกลาง ซึ่งเริ่มปรากฏการเคลื่อนย้ายแรงงานชาวฟิลิปินส์ตั้งแต่สมัยอเมริกาเข้าปกครอง เธออาศัยฟังเทปเสียงคาสเซ็ตที่พ่อส่งมาพูดถึงความคิดถึงที่มีต่อแม่ของเธอ
เหตุการณ์ทั้งเรื่องแทบจำกัดอยู่ในขอบเขตของบ้านชั้นเดียวที่เธออยู่กับแม่ผู้ทำงานเป็นช่างในโรงงานทำรองเท้า ภาพยตร์ใช้วิธีการเล่าแบบไม่เป็นเส้นตรง และตัดสลับภาพกึ่งจริงกึ่งฝันแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ การเนรมิตภาพฝันของ Yael ในช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบคล้ายกับ Pan's Labyrinth (2006) ที่เล่าถึงโลกในจินตนการสุดมหัศจรรย์โอฟีเลียในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนกับนายพลฟังโกที่สเปน และผ่านวิธีการนำเสนอชุดภาพความฝันแบบไม่ปะติดปะต่อแบบ The Mirror (1975)
ในช่วง 3 -5 ปี หญิงสาวตามความเชื่อของฟรอยด์จะมองว่าพวกเธอกำลังก้าวสู่การแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศปฐมภูมิ (Phallic stage) เด็กหญิงจะรักและติดพ่อ ต่อมาจะเลียนแบบแม่เพื่อให้เป็นที่รักของพ่อ อันส่งผลให้เริ่มมีบุคลิกภาพสอดคล้องกับเพศ ผ่านกลไกที่ว่าเธอจะรู้สึกหึงหวงพ่อและคิดว่าแม่เป็นคู่แข่ง ดังปรากฎในภาพยนตร์ ความสัมพันธ์ระหว่าง Yael และแม่นั้นห่างเหิน มีฉากที่น่าสนใจคือเธอล่างหุ่นแม่ตนเองเอาไปทิ้งลงในแม่น้ำ ซึ่งคล้ายกับการกำจัดคอมมิวนิสต์ และฉากเลียนแบบภาพยนตร์ซอมบี้ยุค 80 ที่ได้อิทธิพลจากอเมริกาอย่างการเข้าไปทาสีผมของแม่ แต่ Yael เป็นตัวละครอายุแปดขวบซึ่งเธอควรผ่านช่วงวัยนี้ไปได้แล้ว การที่เธอมีพฤติกรรมนี้อาจหมายถึงว่าเธอยังฝังติดกับระยะนี้อยู่
กระบวนการทำให้เป็นสีขาวเป็นสิ่งที่น่าสนใจ อาจหมายถึงการล้างความผิด การทำให้ถูกลบลืม การกำจัดคอมมิวนิสต์ รวมไปถึงการก้าวพ้นวัยจากหนุ่มสาวผมสีดำเป็นสีขาวคือความชรา หรือน้ำยาทาเล็บสีขาวซึ่งเป็นของใช้เมื่อเด็กสาวโตขึ้น เธอลบชื่อของเธอออกจากเทปที่พ่อส่งมาให้แม่ ราวกับว่าเธอไม่เคยถูกจดจำและพูดถึง แต่เธอก็ยังฝังแน่นและต้องการพ่อ
ภาพบ้านเรือนถูกภัยธรรมชาติซัดสาดในตอนท้าย เหมือนการกวาดความทรงจำและชีวิตให้หมดสิ้น สีน้ำตาลที่เธอชอบเหมือนสีของน้ำโคลนที่ไหลบ่าเข้ามาในชุมชนและบ้านแห่งความทรงจำของเธอ บ้านของเธอสามารถมองได้รอบทิศ 360 องศา จากห้องรับแขก ดูโทรทัศน์ ห้องนอน และโถงทางเดิน ฉากที่กล้องหมุนรอบทิศเหมือนการม้วนเทปคาสเซ็ตที่ถูกม้วนพันฟังซ้ำไปซ้ำมาชั่วนิจนิรันดร์
ความทรงจำและความรู้สึก สังคมเพศชายเป็นใหญ่ แม่ใบเลี้ยงเดี่ยว ความอับอายกับโรคผิวหนัง การไม่กล้าแสดงออกของเธอเหมือนเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ทักษะการเขียนที่ยังเว้นคอมม่าไม่เป็น สิ่งกระอักกระอ่วนเหล่านี้มันไหลวนอยู่ในมวลอากาศบ้านและชุมชนของเธอ
เธอเรียนรู้เสียง สร้างเสียงจากสิ่งต่างๆ ที่แม่เธอเลียนเสียงใส่เทปในตอนท้าย ทำให้ความเป็นตัวเธอและความเป็นแม่ ความเป็นผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง มิใช่สตรีหมายเลขหนึ่งที่มีรองเท้านับพันคู่ในห้องแต่งตัว แต่พวกเธอคือแรงงานราคาถูก และพวกเธอคือเยาวชนที่เติบโตด้วยสิ่งแวดล้อมที่กำลังทำลายชีวิตและจิตใจ
การตามหาปากกามหัศจรรย์เพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีอย่างมนุษย์พึงจะมีได้มันช่างโศกเศร้า เงินที่แม่เธอให้เพื่อหยอดกระปุกเมื่อละครหลังข่าวมาถึง เธอไม่อยากให้ลูกมานั่งดูมัน ละครทีมีแต่ชีวิตปลอมๆ แต่ก็จริงไปพร้อมกัน ผู้หญิงในละครเรื่องหนึ่ง เธอยอมรับได้ว่าถ้าสามีเธอมีชู้ ยอมให้เขาพาเธอมาที่บ้าน ภาพตัดไปที่น้องชายของสามีพาเพื่อนๆ มาเยี่ยมเล่นที่บ้านแก้เหงา แต่มันซ้อนทับความปรารถนาของเธอในการจะได้พบเจอสามี แม้ในใจจะคิดว่าเขาคงมีคนใหม่ไปเสียแล้ว
แม้เงินจะไม่พอไปซื้อปากกว่า เพื่อนในจินตนการของเธอบอกว่าถ้าหาหงอกแม่มาได้อีกแลกกับเงิน เธอกำลังจะสร้างหงอกใหม่ให้แม่ ก่อนจะพบว่าน้ำป่ากำลังไหลเอ่อท้วมบ้าน ตอนนั้นเธอกับแม่ก็คงหนีไม่ทันเสียแล้ว เพื่อนในจินตนการที่ยังดำรงอยู่แม่เธอจะอายุแปดขวบ เธอกลายเป็นคนนอกในเพื่อนรุ่นเดียวกัน ไม่ได้เต้นสวย ไม่ได้ร้องเพลงเก่ง
ชีวิตของ Yael จึงประกอบสร้างจากวิทยุและโทรทัศน์ ภาพโฆษณาญี่ปุ่น (ซึ่งเข้ามาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ) ชวนเชื่อปากกาเปลี่ยนชีวิตให้สดใสจะต่างอะไรจากชีวิตอเมริกันดรีม หรือการสร้างความเกลียดชังคอมมิวนิสต์ กลุ่มเด็กน้อยซอมบี้ที่เดินตามหุ่นมาสคอตปากกา กรรมวิธีการสร้างความเสน่หาระหว่างผู้ฟังและผู้ดูผ่านสื่อทำให้นึกถึงการทำให้คนเสพติดเผด็จการ เราหวังความรักจากเขา หวังว่าเขาจะมาช่วยปัดเป่าความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจให้
ภาพจำลองบ้านของเล่นของ Yael ที่เหมือนเป็นชีวิตในจินตกรรมจากความทรงจำที่ยังฝังแน่นติดบ่วง ของเล่นทำกับข้าวที่สร้างภาพจำของความเป็นแม่ เป็นเพศหญิงว่าต้องเป็นคนหุ่งหาอาหาร ของเล่นเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตซ้ำวาทกรรมโดยไม่รู้ตัว ของเล่นที่เอาไว้เสริมสร้างพัฒนาการ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเธอหลุดพ้นจากสภาพความเป็นจริงอันหดหู่เกินกว่าจะรับได้ ก่อนจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่กำลังมาถึงอันไม่คาดคิด
การถอดความที่กระวนกระวายใจ ดังเช่นการแปลงเสียงจากเทปเป็นการท่องจำและเปล่งเสียง การแปลงเสียงเครื่องเล่นเทปที่เสียต้องรออามาซ่อมให้ออกมาเป็นตัวอักษร การลอกเลียนแบบการเขียนในโฆษณาญี่ปุ่นเขียนลงบนจอเพื่อหวังว่าผู้ชายหรือใครๆจะชอบเธอ การแปลว่าพ่อไม่ได้สนใจและจดจำเรา การแปลว่าพ่อทิ้งเรา การแปลว่าสามีมีคนใหม่ การแปลว่าคนที่มาหาเป็นสามีมิใช่น้องฝาแฝด การแปลว่าชีวิตเธอจะดีขึ้นจากการเขียน การแปลว่าใช้ความสามารถเดียวที่มีเพื่อหวังว่าจะมีคนรักคนเข้าใจ หรือแม้กระทั่งการแปลชีวิตที่โลดแล่นหมุนเวียนวนเหมือนเทปคาสเซ็ตเป็นของชุดของเล่นและชุมชนของเธอ
ภาพของเล่นบ้านในตอนท้ายปรากฏเป็นภาพน้ำท่วมที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง แล้วใครกันที่กำลังเล่นของเล่นอยู่
ดูเตอร์เตประกาศสงครามกับยาเสพติด มิได้สนใจจะจัดการกับความยากจน มีการประมาณว่ากว่าร้อยละ 40 ของชาวฟิลิปปินส์มีรายได้เพียงวันละ 63 บาทหรือราว 2 US dollar และกว่าร้อยละ 10 ต้องจากบ้านไปเป็นแรงงานนอกประเทศเพราะอัตราการจ้างงานที่ต่ำมากภายในฟิลิปปินส์
สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากที่ดูเตอร์เตได้รับตำแหน่ง เขาไปคารวะหลุมศพมาร์กอส จุดสลุดให้กว่า 21 นัด ดูเตอร์เตมีความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับมาร์กอส รวมถึงการพยายามให้ลูกชายคนเดียวของมาร์กอสมาเป็นตัวแทนของเขา ในฟิลิปปินส์ตำแหน่งประธานาธิบดีกับรองฯ จะแยกกันอย่างอิสระ อย่างตอนปี 2016 โรเบรโด รองฯ ดูเตอร์เตพูดออกสื่อในระหว่างที่ดูเตอร์เตพยายามสร้างภาพฮีโร่ให้กับมาร์กอส เธอพูดว่า “มาร์กอสคือขโมย มาตกร และเผด็จการ เขาไม่มีวันเป็นฮีโร่ได้” แม้ตอนนี้ในวัย 73 ปี ดูเตอร์เตพูดติดตลกออกสื่อตลอดว่าจะลงจากตำแหน่ง แต่เขายังย้ำว่าจะไม่ยอมลงจนกว่าโรเบรโดยังอยู่นตำแหน่งรองฯ
อ้างอิง
- มูนีเราะฮ์ ยีดำ. 2555. ชนชั้นกลางและประชาธิปไตย : มุมมองเชิงเปรียบเทียบประเทศไทยและฟิลิปปินส์
- Mark Thompson. 2018. Duterte’s illiberal democracy and perilous presidential system
- Mark Thompson. 2016. Bloodied Democracy: Duterte and the Death of Liberal Reformism in the Philippines
- จันทพร ศรีโพน. 2017. การฟื้นโทษประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่
- ศุภการ สิริไพศาล 2550 ความรุ่งโรจน์และการล่มสลาย. ของการเมืองระบอบมาร์กอสในฟิลิปปินส์