การได้ดูหนังประเทศโลกที่หนึ่งนี่มันเจริญสติปัญญามากๆ เพราะมันพาเราไปถกเถียงถึงประเทศที่เราอาจหลงลืมและมองยังไม่เห็น คือในขณะที่ประเทศเราถกเถียงเรื่องประเด็นสิทธิมนุษยชน การกดขี่ เผด็จการ แต่หนังเหล่านี้เช่นเดียวกันกับ Border (Ali Abbasi, 2018) กลับพาเราไปขบคิดถึงประเด็นอื่นๆที่จริงๆแล้วมันก็ซุกซ่อนอยู่ในประเทศเราเองนี่แหละ แต่เรามองข้าม หรือไม่ได้คิดไปพร้อมๆกับประเด็นเรื่องการกดขี่หรือชนชั้น
การได้ดู Western จึงเหมือนกับการได้อ่าน Post-Secular Society ฮาเบอร์มาสกับสังคมแบบหลังฆราวาส ของสำนักพิมพ์ Illuminations Edition ที่พาเราไปเปิดหูเปิดตาประเทศที่เราใฝ่ฝันอยากจะเป็นอย่างประเทศโลกที่หนึ่ง ประเทศที่ศาสนาถูกแยกออกจากการเมือง เป็นสังคมหลังฆารวาส เช่นฝรั่งเศส ซึ่งก็พบว่าสังคมแบบนี้ก็มีปัญหาที่ท้าทายทำให้ต้องคิดต่อไปไม่จบสิ้นอยู่ดี ไม่ใช่ว่าการไปถึงรัฐสวัสดิการแล้วจบ การต่อสู้จบสิ้น แต่อาจเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาแบบให้ให้ต้องคิดกันต่อ
Western เล่าถึงพื้นที่ทับซ้อน พรมแดนรัฐชาติที่สลายหายไประหว่างบัลแกเรียและเยอรมัน ไม่ใช่ว่าแคมป์คนงานที่เข้าไปสร้างระบบชลประทานตั้งอยู่ในเยอรมัน แต่คนงานกลับสร้างเขตแดนของเขาขึ้นเองด้วยการตั้งธงชาติขึ้น เสมือนว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของคนเยอรมันซึ่งฉลาดกว่า เจริญกว่า มีความรู้มากกว่า มีวัฒนธรรมมากกว่า
บัลแกเรียเป็นประเทศที่ยากจนมากที่สุดในยุโรป การเข้าสู่อียูทำให้คนในภูมิภาคสามารถเคลื่อนย้าย ท่องเที่ยว ได้อย่างอิสระ ชาวบัลแกเรียอพยพไปเยอรมันราว 8 พันคนในปี 2006 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นคนในปีถัดมาหลังจากที่บัลแกเรียนเข้าร่วมอียู
ประชากรของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นใหม่เลือกที่จะไปเรียนต่อประเทศอียูด้านตะวันตก (Western Europe) มากกว่าจะฝากอนาคตไว้กับการศึกษาประเทศตนเอง ในปี 1980 มีประชากรอยู่ 9 ล้านคน แต่ในปี 2018 กลับเหลือเพียง 7 ล้านคน พอประชากรอพยพออกก็ทำให้เกิดภาวะสมองไหล ขาดแคลนตั้งแต่แพทย์ยันชนชั้นแรงงาน เพราะงานที่ต่างประเทศให้เงินที่มากกว่า แม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ต้องจบสูงมาก อย่างค่าจ้างขั้นต่อเดือนในเยอรมันได้ 836 ยูโร แต่ที่บัลแกเรียได้เพียง 150 ยูโร
ปัญหาเรื่องแรงงานอพยพจากบัลแกเรียมาเยอรมันก็สร้างความไม่พอใจให้กับปะเทศยุโรปฝั่งตะวันตกเป็นอย่างมาก ในอังกฤษถือว่าการอพยพนี้เป็น benefit toursim สำหรับเยอรมันปัญหานี้เรียกว่าเป็น poverty migration Elmar Brok สมาชิกของสภายุโรปซึ่งมาจากพรรค Christian Democrat ของผู้นำเยอรมันอย่าง Angela Merkel ได้แสดงความเห็นว่า “ผู้ที่มาอยู่เยอรมันเพื่อจะหวังตักตวงผลประโยชน์ ควรกลับไปอยู่ประเทศของตัวเองซะ” หรืออย่าง Horst Seehofer ผู้นำพรรคที่สนับสนุน Angela Merkel ก็บอกว่า “พวกที่มาหาผลประโยชน์ควรถูกเนรเทศออกจกาเยอรมันซะ” เขาสนับสนุนกฎหมายที่ให้ผู้อพยพต้องใช้เวลากว่าสามเดือนถึงจะได้รับสวัสดิการ
ปัญหาผู้อพยพในเยอรมันมาถึงจุดแตกหักมีเหตุการณ์กราดยิงถึงสามครั้งในเวลาไม่ถึงปี เหตุการ์สูญเสียครั้งใหญ่สุดคือการสังหารผู้อพยพกว่าเก้าคน ได้แก่ชาวเติร์ก บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา โรมาเนียและชาวบัลแกเรีย โดยชายที่มีแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ ความน่าสนใจคือ Western ได้หยิบปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ ผ่านการตั้งธงเยอรมัน ขโมยธง และแย้งธงกลับคืนมาในตอนท้ายของเรื่อง รวมถึงการรู้ว่าตนเองเป็นชาติอารยันเหนือกว่าชาติอื่นๆ เช่นการรู้ว่าตนเองเข้าไปช่วยเหลือเป็นยากไร้ผ่านวาทกรรมการพัฒนา
เหมือนหนังจะพูดถึงความรุนแรงของเพศชายที่ไมน์ฮาร์ดต้องการลบออกจาใจตัวเอง ความรุนแรงที่มีอยู่ในช่างก่อสร้าง และไมน์ฮาร์ดก็พบว่าชาวบ้านเองก็มีความรุนแรงเช่นกัน ไม่ได้ต่างกัน ชาวบ้านก็ขอเงินของเขาคืนแม้จะแพ้พนันแล้ว ชาวบ้านก็รุมชกเขาไม่ต่างจากกลุ่มคนงานที่เล่นงานเขา หลังจากที่เขารับเป็นผู้ยิงม้า สัตว์ที่เข้ามาในชีวิตเขาเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสู่อีกด้านของชีวิตคือความอ่อนโยน เช่นเดียวกับเมื่อเขาพบกับวิอาร่า หญิงสาวชาวบ้านที่พูดเยอรมันได้และเสนอตัวเป็นล่ามให้กับคนในหมู่บ้าน เธอกลับมาอยู่บัลแกเรียหลังจากไปหากินนอกประเทศอยู่นาน
แต่เมื่อม้าบาดเจ็บและตายเพราะเขาฆ่ามันกับมือ เช่นเดียวกับวิอาร่าที่เขามีเซ็กส์ด้วย แต่เธอก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเขา แต่เธอกลับถามถึงวินเซนต์ หัวหน้าคนงานที่ออกจะมีท่าทีรุนแรงกับเพศหญิงและชาวบ้านไม่ค่อยชอบนัก ความโดดเดี่ยวของชีวิตปัจเจคแบบไมน์ฮาร์ด ผู้ต้องการลืมอดีตของตัวเองในฐานะนักฆ่า สามีที่ไม่เอาไหน พี่ชายที่ห่วยแตก การที่เขาได้พบกับความใสซื่อจริงใจของชาวบ้านบัลแกเรีย พบม้า พบหญิงสาว ราวกับว่าเขาจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่ตอนหลังที่เขาพบว่าชาวบ้านก็มีความโหดร้าย ต้องการเงินไม่ต่างจากคนเยอรมันที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่งาน มากกว่าจะสนใจชีวิตชาวบ้าน การพัฒนาระบบน้ำ โครงการจากรัฐที่ไม่ได้สอบถามความเห็นคนในพื้นที่ การยิงม้าจึงเหมือนเป็นการปลดปล่อยความโหดร้ายในตัวเขาเองที่ถูกระงับไว้ ชาวบ้านจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นด้านตรงข้ามคงสังคมทุนนิยมเยอรมัน
การเก็บความต้องการทางเพศ ระงับความโหดร้าย (เช่นการเอามืดในคนอื่น การไม่แทงคนที่รุมทำร้ายเขาหรือลืมตนเองว่าเคยเป็นนักฆ่า) เป็นสุภาพบุรุษ การใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในช่วงแรกของไมน์ฮาร์ดเปรียบได้กับการบำเพ็ญตบะของนักบวช การกระทำของเขาในตอนท้ายการมีความสุขจากการร่วมเพศ อาหาร การแสวงหาความสุขทางร่างกาย การมีเพื่อน จึงเป็นการยืนยันว่าชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องลำบากตรากตรำให้พระเจ้าทดสอบก่อนแบบที่คริสตศาสนาเชื่อ ความคิดว่าชีวิตที่เรียบง่ายเพื่อจะบรรลุความสุขในจิตใจไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตหรูหรา ความสุขเกิดจากสิ่งง่ายๆรอบตัวนี่เป็นแนวทางของกลุ่มอีพิคูเรียน
ความสุขกลายมาเป็นเป้าหมายสูงสุดของจริยธรรมของชีวิตในโลกตะวันตก (western) ผ่านการนำเสนอความคิดแบบอีพิคูเรียนโดยปิแอร์ เกสซองดิในศตวรรษที่ 17 ผู้เป็นทั้งนักปรัชญา นักเทววิทยา และคริสเตียน แถมยังนำความคิดเรื่องอะตอมแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาผสมรวมกับศาสนา การนำเสนอของเขาอาจหาญอย่างมากที่กล้าเข้าไปท้าทายอาณาจักรของพระเจ้า เขาพร้อมจะถูกจับเผาทั้งเป็นในฐานะพวกนอกรีต แต่ด้วยความเชี่ยวชาญหลายด้านของเขาจึงสามารผสมเอาวิทยาศาสตร์เข้ากับศาสนาได้อย่างแยบยล คือทั้งปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าและสรรเสริญพระองค์ไปพร้อมๆกัน
อิพิคูเรียนถือว่าความสุขเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ความทรมานไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่มนุษย์ต้องเผชิญ ความเจ็บปวดไม่ว่าจากสิ่งใดก็ตามรวมถึงพระเจ้าลงโทษก็เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ การกระทำด้วยความสมเหตุสมผล มี Rational การทำอะไรด้วยแรงจูงใจ มี Passion สิ่งเหล่านี้เป็นเส้นทางไปสู่ความสุข เป้าหมายจึงเป็นการกำจัดความทุกออกไป ชีวิตที่ไม่มีความทุกข์จึงเสมือนชีวิตของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นนิรันดร์ เกสซองดิกล่าวว่าความสุขแบบพระเจ้าคือความสุขของคนฉลาด เป็นความสุขบนความเรียบง่าย พอเพียงซึ่งเป็นอมตะ และความซื่อสัตย์ มิใช่อยู่ที่ความหรูหราฟุ่มเฟือยที่มองความสุขเพียงชั่วครู่ กรอบความคิดอิพิคูเรียนเน้นที่การมีความสุขกับปัจจบุัน มากกว่าที่จะกังวลกับอนาคต การมีเกียรติ มีความซื่อสัตย์ มีความรู้ มีคุณธรรม ทำให้เกิดจิตใจที่สงบมีสันติสุข
ในแง่นี้เองภายใต้โลกสมัยใหม่ ปรัชญาองค์ความรู้และวิทยาศาสตร์ (แน่นอนว่าการสร้างเขื่อน ระบบชลประทาน) เข้ามาแทนที่ศาสนา (แต่ยังยึดโยงกับศาสนา) ปรัชญาทำหน้าที่ในการบำบัดเช่นเดียวกับที่ศาสนาเคยทำ ปัดเป่าความกลัวแบบที่พระเจ้าเคยทำ ความกลัวในการที่จะมีชีวิตที่ลำบาก กรอบความคิดอิพิคูเรียนเป็นการพยายามควบคุมชีวิตให้เหนือชะตากรรม การกังวลอนาคตมากเกินไปถือเป็นชีวิตของคนโง่ เพราะต้องห่วงอนาคตตลอดเวลา ถือว่าเราต่างมีเป้าหมายร่วมกันคือความสุขซึ่งเหนือกว่าคุณธรรม ดังนั้นเราต้องปฏิบัติตามคุณธรรมถึงจะมีความสุข
ฉากที่น่าสนใจคือ พอม้าล้มตกจากเนินเขา ไมน์ฮาร์ดไม่รู้จะจัดการกับม้ายังไง เขาไม่ต้องการให้มันตาย แต่สุดท้ายพอชาวบ้านมากับเขา ชาวบ้านก็เป็นคนเลือกจะให้สัตว์ตาย คือเป็นแบบการุณยฆาต อิพิคูเรียนเห็นว่าสัตว์ทั้งหลาย นั่นรวมถึงมนุษย์ด้วย ต้องการความพึงพอใจและเกลียดชังความเจ็บปวดอันเป็นสิ่งเลวร้าย (evil) และชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ไม่ต้องยุ่งเรื่องการเมือง การแสวงหาความสุขจึงต้องถอนตัวเองออกจากชีวิตทางสังคมเพราะชีวิตจะได้สงบ เช่นเดียวกับ ไมน์ฮาร์ดที่อยากลืมว่าตัวเองเคยเป็นอะไร เป็นเยอรมันที่คิดว่าเป็นชาติอารยัน เป็นสามีที่ไม่เอาไหน และเริ่มต้นใหม่กับคนแปลกหน้าอย่างชาวบ้านในบัลแกเรีย ฉากการได้นั่งไตร่ตรอง (contemplate) ชีวิตที่ผ่านมาของเขากับอาเดรียนถือว่าเป็นคุณธรรมของชีวิตประหนึ่งการสารภาพบาป
การดำเนินชีวิตแบบอิพีคูเรียนมิได้หมายถึงการแปลกแยก ถือความสันโดษ หากแต่เป็นการมีเพื่อนถือเป็นความสุขของชีวิต มิตรภาพไม่ว่ากับสัตว์หรือมนุษย์ถือเป็นคุณูปการกับชีวิต เกสซองดิเห็นว่าในตอนแรกสายสัมพันธ์อาจเป็นเรื่องผลประโยชนื แต่เมื่อดำเนินไปก็อาจกลายเป็นความรักในเพื่อน ความรักในเพื่อนจะเกิดคล้ายกับความผูกพันธ์ที่เกิดกับประเทศ บ้าน หรือม้า
แต่ถึงกระนั้นก็ตามเพื่อนก็ไม่ได้เป็นเป้าหมายในตนเอง เพราะเป้าหมายอันแท้จริงก็คือความสุขของฉันเอง (hedonism) ถ้าเราจะมีความสุขได้ก็ต้องมีคุณธรรมมายืนยัน เกสซองดิเห็นเช่นเดียวกับนิกายโปรเตสแตนท์ว่าพระเจ้ากับจิตวิญญาณของมนุษย์อยู่ในระดับเดียวกัน เราอาจตั้งคำถามสงสัยในปรัชญาได้ แต่คริสตศาสนาเราไม่อาจสงสัยพระเจ้าได้ เพราะเราต้องมีศรัทธาในพระเจ้า ในโลกสมัยใหม่ การศรัทธาในตัวเองจึงดำเนินพร้อมกันไปกับศรัทธาในพระเจ้า (faith) ดังที่ไมน์ฮาร์ดถามวิอาร่าว่าเธอศรัทธาในตัวเขาหรือไม่ก่อนจะไปมีเซ็กส์กับเธอ
หากมองว่าป่าละเมาะที่ไมน์ฮาร์ดไปพบม้านั่นคือสวนอีเดน สวนแห่งความสุข เขากำลังจะได้เริ่มชีวิตใหม่ มีศรัทธาของพระเจ้าด้วยความหลงไหลกับม้าเช่นเดียวกับอดัมและอีฟ เขามีบาปก่อนจะเข้ามาในสวน ในฐานะสามีที่ห่วยแตก พี่ชายที่แย่ และนักฆ่าก็คือบาปแต่กำเนิด (original sin) ก่อนที่เข้าจะเข้ามาในสวน ในแนวคิดนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างความสุขให้ไมน์ฮาร์ด แล้วไมน์ฮาร์ดจะมีความสุขโดยละทิ้งพระเจ้าได้อย่างไร ไมน์ฮาร์ดจะใช้ชีวิตต่อโดยละทิ้งพระเจ้าได้อย่างไร เพราะนั่นเป็นไปไม่ได้ การหาความรู้ของมนุษย์และปรัชญาโดยอดัม จะปราศจากศาสนาคริสต์ไปได้อย่างไร
ในแนวทางของโปรเตสแตนท์เห็นว่าหนทางรอดออกจากกรงขังของคริสตศาสนาหรือการประนีประนอมเพื่อกลับไปสู่สภาพก่อนการมีบาปมันเป็นไปไม่ได้ สำหรับโปรเตสแตนท์แล้วพวกเขาให้ความหวังกับปรัชญาความเป็นมนุษย์มากกว่า มนุษย์ไม่อาจมีความสุขได้เพราะมีบาปกำเนิดดังนั้นแล้วการรื้อฟื้นความคิดของอิพิคูเรียนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ศตวรรษที่ 18 กลายเป็นยุคทองของการแสวงหาความสุข (pursuit of happiness) ดังคำประกาศของการก่อตั้งอเมริกา ความสุขกลายเป็นเรื่องสากล เช่นเดียวกับ สิทธิ
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ความสุขกลายเป็นเรื่องอัตวิสัยและเป็นเรื่องของปัจเจคชน พระผู้เป็นเจ้ามอบความสุขให้มนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงมีหน้าที่ในการหาความสุข เป็นกฎธรรมชาติ ความสุขดำเนินไปตรามกรอบคิดของศีลธรรมเป็นเป้ามหายสำคัญของการเมือง แปลว่าเราต้องดำเนินชีวิตแบบปัจเจคเพื่อความยิ่งใหญ่ของชุมชนการเมือง
รัฐเป็นองค์กรทางการเมืองที่มาต้องการส่งเสริมคุณภาพของความเป็นทรพยากรมนุษย์ ก็จำเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนในรัฐมีความสุข ดังการเข้ามาสร้างระบบชลประทาน การจัดอันดับว่าประเทศไหนมีความสุขมากที่สุดเป็นอะไรที่วัดได้ยากว่าจะใช้เกณฑ์อะไร การมีระบบน้ำที่ดีทำให้คนมีความสุข? การมีชีวิตที่ดี (well-being) เป็นตัวชี้วัดหนึ่งว่ารัฐนั้นประสบความสำเร็จในการมีความสุข แต่แล้วการชีวิตที่ดีคืออะไรบ้างก็ยังเป็นปริศนา
เยอรมันเป็นประเทศที่มีความสุขอันดับ 14 ของโลกตามการจัดอันดับโดย United Nations ในปี 2019 โดยประเทศรัฐสวัสดิการอย่างฟินแลนด์ เดนมาร์ค สวีเดนต่างติดอันดับใน 10 ประเทศแรก อเมริกาอยู่อันดับ 19 และบัลแกเรียอยู่อันดับ 97 ของโลก แต่แล้วรัฐสวัสดิการผู้คนมีความสุขกันขนาดนั้นจริงหรือ แล้วความสุขนี่วัดกันได้อย่างไร ใช้เกณฑ์อะไร แล้วเกณฑ์แบบไหนที่เชื่อถือได้มากที่สุด แล้วเกณฑ์ไหนที่แสดงได้ถึงความมีสุขของมนุษย์ได้เที่ยงตรงที่สุด
รัฐแบบเดนมาร์คคือรัฐที่ทำหน้าที่อุปถัมภ์ (paternalistic state) ซึ่งต้องเป็นรัฐขนาดใหญ่ถึงจะมีศักยภาพมากพอที่จะดูแลคนในรัฐ นั่นทำให้รัฐอย่างสวีเดนมีชนชั้นแรงงานกว่า 15 % คือมากกว่าประเทศอุตสาหกรรมกว่าสองเท่า คุณภาพชีวิตที่ดีจากรัฐอุปถัมภ์ก็มาพร้อมกับภาษีที่โคตรแพง เดนมาร์คเก็บภาษีถึง 68 % คนเดนมาร์คนิยมดื่มแอลกอฮอล์มาก รัฐไม่ได้ผูกขาดการผลิตแอลกอฮอล์
นอกนี้งานวิจัย World Cancer Research Fund พบว่าคนเดนมาร์คเป็นมะเร็งสูง และอายุสั้นที่สุดในประเทศนอร์ดิก ในปี 2012 มีรายงานว่าคนเดนมาร์คกินยาซิมเศร้าเยอแะเป็นอันดับสองรองจากไอซ์แลนด์ หรือรายงานปี 2013 พบว่าประเทศสวีเดนที่วางตัวเป็นกลางกลับส่งออกอาวุธสงครามอันดับต้นๆ ของโลก
เดนมาร์คเป็นประเทศที่มีหนี้สินส่วนตัวสูงที่สุดในโลก คนเดนมาร์คจำนวนครึ่งหนึ่งยอมรับว่าเคยซื้อของจากตลาดมืด เดนมาร์คเองก็ยอมให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมากยิ่งขึ้นและคนจนก็กำลังเพิ่มขึ้น ยังไม่รวมถึงปัญหาผู้อพยพที่เดนมาร์คและสวีเดนเป็นที่รองรับชาวตะวันออกจากจำนวนมาก นั่นมาพร้อมกับกระแสพรรคการเมืองคลั่งชาติที่สนับสนุนโดยโบสถ์คริสเตียนกำลังได้รับความนิยม ด้วยข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่าแล้วว่าคนในประเทศในรัฐสวัสดิการเหล่านี้มีความสุขจริงหรือไม่ หรือเป็นความสุขประเภทไหนกัน
ความปัจเจคชนพุ่งสูเมื่อหลังทศวรรษที่ 1970 เมื่อระบอบเสรีนิยมใหม่แพร่กระจายไปทั่วโลก ปัจเจคชนต้องเป็นผู้มีเป้าหมายในชีวิต ต้องมีความสำเร็จ ต้องความภาคภูมิใจในตัวเอง ต้องคิดบวก มี positive psychology อันแสดงถึงว่าเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตเราเองได้ กรอบคิดทางจิตวิทยาของตะวันตก (west) วางอยู่บนฐานความเป็นปัจเจคซึ่งต่างจากสังคมทางตะวันออกที่เน้นความเป็นกลุ่มก้อน กรอบคิดเรื่องอัตตาแบบตะวันตกถูกเผยแพร่ไปตามสถาบันการศึกษาของรัฐที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางผ่านงานวิจัยทางจิตวิทยาที่กลุ่มผู้ถูกวิจัยศึกษาคือคนจากโลกตะวันตก (western) สังคมที่มีความเป็นปัจเจคที่แสดงความพิเศษไม่มีใครเหมือนของแต่ละคนกลับเผยให้เห็นความลุ่มหลงในตัวเองของปัจเจค (Narcissistic)
การนำเสนอว่าประเทศใดมีความสุขมากกว่าใครจึงไม่ต่างจากการแสดงความเป็นปัจเจคที่เหมารวมคนทั้งรัฐนั้นเข้าด้วยกันว่าพวกเขามีความสุขเป็นอันดับเท่านั้นเท่านี้ของโลก การสร้างความมั่นคงจึงเป็นการขจัดความกลัว เพราะความกลัวคือความทุกข์ รัฐจึงมีหน้าที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับคนในรัฐ แต่การสร้างความมั่นคงก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสุขเสมอไป เช่น ไมน์ฮาร์ดที่เป็นนายทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยของรัฐ แต่ชีวิตครอบครัวล่มสลาย หรือการสร้างระบบประปาที่ชาวบ้านบัลแกเรียไม่พอใจ
ความเป็นปัจเจคชนนี่เองที่เข้ากันได้ดีกับวิถีทุนนิยม พร้อมกันยังทำลายความเป็นชุมชนของสังคมด้วย ซึ่งความเป็นชุมชนก็คงเห็นไม่ชัดนักหากจะมองในสังคมที่เงินเข้าไปมีความสำคัญต่อสายสัมพันธ์ผู้คนอย่างชาวบ้านในบัลแกเรีย ถ้าหากจะเห็นชัดคงเป็นชนเผ่าใน Zama (2017) ที่เป็นสิ่งยืนยันถึงความไม่จำเป็นของการมีอยู่ของรัฐรวมไปถึงศาสนา
ชีวิตรักของไมน์ฮาร์ดที่พยายามวิ่งไล่ล่าหาความสุข เขาผิดหวังหลังจากมีคนรักแต่เธอช่างซับซ้อนไปสำหรับเขา การตามหาความรักเพราะเชื่อว่ามีคนรักรอเราอยู่และเป็นรักนิรันดร์เหมือนความสุขที่อมตะแบบพระเจ้าที่รออยู่ปลายทาง การได้พบพระเจ้า หรือการได้ทำอะไรสำเร็จตามเป้าหมาย (goal) จึงไม่ได้ต่างจากการสำเร็จความใคร่ที่สมองจะหลั่ง Dopamine ออกมาในวงจรเสพติด แต่ก็ร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็วทำให้ต้องการเข้าสู่วงจรนี้เรื่อยๆ ความรักจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก และมิเคยเป็นสิ่งที่นิรันดร์เลยแม้แต่น้อย หลังจากไมน์ฮาร์ดสำเร็จความใคร่แล้ว เขาจึงหวังว่าวิอาร่าจะสนใจเขาเพราะเขาต้องการสานต่อความสัมพันธ์ถาวร แต่เห็นได้จากตอนท้ายว่าเธอไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป
การวิ่งไล่หาความสุขก็อาจกลายเป็นความทุกข์เพราะไล่ไม่เจอเสียที จึงมีคนกล่าวว่าความสุขกลับเกิดขึ้นระหว่างทางของการวิ่งไล่โดยไม่จำเป็นว่าเราจะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ มนุษย์จึงมีการปรับเปลี่ยน แทนที่เราจะมองว่าความสุขเป็นเป้าหมาย ให้มองหาความสุขจากกระบวนการไปถึงความสุขเสียดีกว่า กลไกของการปรับตัวของมนุษย์นี่เองเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องมีใครมายื่นหรือเสนอความสุขให้กับมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถสร้างได้ด้วยตนเอง นั่นแปลว่ารัฐไม่มีความจำเป็นต้องมาสร้างความสุขให้มนุษย์ภายใต้วาทกรรมของความหวังดี
อย่างไรก็ดีการวิ่งไล่ความสุขโดยสนใจ “ระหว่างทาง” ก็ยังมีเป้าหมายเป็นความสุขอยู่ดี เพียงแต่เปลี่ยนการมองว่าเราสามารถหาความสุขระหว่างจะไปถึงจุดสุดยอดได้เช่นกัน นอกจากนี้การมองโดยสนใจ "ระหว่างทาง" มักเป็นการมองของคนมีเงินพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบอีพิคูเรียนที่จะมองว่าเรามีความสุขต้องมีเพื่อนร่วมทางแบบไมน์ฮาร์ดที่ต้องการมีเอเดรียน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พบว่าใครจะเป็นเพื่อนของเขาได้อย่างจริงจังสักคน เพราะต่างคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเองแบบปัจเจคที่แตกสลาย มุมมองแบบไมน์ฮาร์ดจึงอาจจะใช้ไม่ได้กับคนที่ยากจน เพราะคนไม่มีเงินคงจะขอมีเงินก่อนมีเพื่อนร่วมทาง
ไม่ว่าจะรวยหรือจนภายใต้โลกเสรีนิยมใหม่เราต่างก็ต้องวิ่งขึ้นบนภูเขาที่บนยอดคือความสุข แล้วร่วงลงมาแบบม้าสีขาวตัวนั้น ขึ้นแล้วร่วงลง ขึ้นแล้วร่วงลง จนกว่าจะมีใครใจดีเอาปืนมายิงให้ฉันไปเกิดใหม่เสียที
อ้างอิง
- ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2560. On Happiness ว่าด้วยความสุข. สมมติ
หน้าที่เข้าชม | 7,707 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 5,954 ครั้ง |
เปิดร้าน | 23 มี.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |