คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2564
พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 มาตรา 42/1 เป็นกรณีที่กฎหมาย
บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานของรัฐ หรือนายจ้างในสถานประกอบการ
หรือหน่วยงานอื่นใดที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่อยู่หักเงินค่าจ้างหรือเงินอื่นของ
จำเลยเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นสิทธิอันเกิดจากความยินยอมของ
จำเลยตามหนังสือให้ความยินยอมที่จำเลยทำไว้กับผู้ร้อง แต่ในส่วนของ
เงินปันผลนั้น พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 มาตรา 60 (1) บัญญัติให้สหกรณ์
จัดสรรกำไรสุทธิประจำปีเป็นเงินปันผลตามจำนวนหุ้นของสมาชิกแต่ละคน
ที่ชำระแล้ว เงินปันผลจึงเป็นเงินที่ผู้ร้องต้องจ่ายแก่สมาชิกทุกคนเป็นรายปี
ทุก ๆ ปี ขณะที่ยังเป็นสมาชิกอยู่ ส่วนเงินเฉลี่ยคืนตาม พ.ร.บ.สหกรณ์
พ.ศ.2542 มาตรา 60 (2) บัญญัติให้สหกรณ์จัดสรรกำไรสุทธิประจำปี
จ่ายเป็นเงินเฉลี่ยคืนให้แก่สมาชิกตามส่วนธุรกิจที่สมาชิกได้กระทำไว้กับ
สหกรณ์ในระหว่างปีแต่ละปี เงินเฉลี่ยคืนจึงเป็นเงินที่ผู้ร้องจัดสรรจ่าย
ให้แก่เฉพาะสมาชิกบางคนที่ทำธุรกิจกับผู้ร้องและจ่ายเฉพาะในปีที่ทำ
เท่านั้น เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนจึงเป็นเงินที่ผู้ร้องจ่ายให้แก่จำเลย หาใช่
เงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐ หรือสถานประกอบการ หรือหน่วยงานอื่นใด
ในฐานะนายจ้างที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่อยู่จ่ายให้แก่จำเลยตามความใน
มาตรา 42/1 ไม่เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนจึงไม่ใช่เงินอื่นใดตามความใน
มาตรา 42/1 ข้อตกลงตามหนังสือสัญญากู้ระบุข้อความชัดเจนว่า จำเลย
ยินยอมให้หักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยชำระหนี้เงินกู้ของตนที่มีต่อ
ผู้ร้องได้ มิใช่เป็นข้อตกลงในเรื่องเกี่ยวกับเงินปันผลหรือเงินเฉลี่ยคืน
อันเป็นส่วนหนึ่งของกำไรที่ผู้ร้องจะต้องจ่ายแก่จำเลย ผู้ร้องจึงไม่อาจ
นำเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากผู้ร้องไปหักชำระหนี้
ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องโดยอาศัยข้อตกลงดังกล่าวได้ ทั้งการขอให้นำเงิน
ดังกล่าวมาหักชำระหนี้ที่จำเลยมีต่อผู้ร้องได้กระทำภายหลังจากที่ผู้ร้อง
ได้รับหนังสืออายัดเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
แล้ว ผู้ร้องจึงไม่อาจหักเงินดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 316 วรรคสอง
และหนี้ใดจะเป็นหนี้บุริมสิทธิหรือไม่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ซึ่งหนี้ที่จำเลยมีต่อผู้ร้องเป็นเพียงหนี้กู้ยืมเงินเท่านั้นไม่ใช่หนี้บุริมสิทธิ
ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิเหนือเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของจำเลย
ในอันที่จะนำไปหักชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อน