แล้วเจอกันชาติหน้าตอนบ่ายๆ (ธนิศวร์ ยันตรโกวิท, 48 min, 2019)
!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
เสียงจากวิทยุ จากโทรทัศน์ ใน Untill We Meet Again ของธนิศวร์ ยันตรโกวิท ช่วยโหมเร้าบรรยากาศที่ชวนอึดอัดและขยับขยายความหมายของคำว่าบ้านให้กว้างไปเกินกว่าเป็นเพียงแหล่งบ่มเพาะบุตรหลาน นั่นเพราะครอบครัวภายใต้ชายคาเดียวกันในทัศนะของธเนศ วงศ์ยานนาวาแล้ว ครอบครัวนี่เองที่เป็นจุดกำเนิดของโครงสร้างของความไม่เป็นประชาธิปไตย รัฐได้ใช้เด็กเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองและจัดการกับพ่อแม่ ครอบครัวถูกผนวกรวมและสอดส่องอย่างง่ายดายโดยรัฐ ครอบครัวจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองของรัฐสมัยใหม่
ความเป็นครอบครัวก็มาพร้อมกับนามสกุลที่ถูกบัญญัติเมื่อ พ.ศ.2456 ผ่านพ.ร.บ.ขนานนามสกุล นามสกุลถูกใช้ในงานทะเบียนราษฎร์ เพื่อจัดเก็บภาษี เกณฑ์ทหาร สร้างเอกสารเบิกจ่ายเงิน นามสกุลกำกับควบคุมผู้คนที่เดิมเคลื่อนย้ายถิ่นฐานอยู่ตลอดให้อยู่กับที่ นามสกุลทำให้เราพอรู้ได้ว่ามาจากไหน เช่น ลงท้ายด้วย -ประโคน ก็มีที่มาจาก อ. ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ หรือ -กระโทก ก็มาจากโคราช
ระบบนามสกุลนี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบชายเป็นใหญ่ ลดความสัมพันธ์ทางอำนาจเดิมของฝ่ายหญิงที่มีความสำคัญพอๆ กับเพศชายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้หญิงกลายเป็นผู้ไม่มีนามสกุล กฎหมายระบุให้ใช้เฉพาะนามสกุลฝ่ายชาย
ครอบครัวจึงเป็นต้นแบบของรัฐประชาชาติ ผู้ปกครองถูกแถนสัญลักษณ์ของการเป็นพ่อ หัวหน้าครอบครัวต้องทำการรู้จักสมาชิกของครอบครัวด้วยกลไกของการบ่งบอกว่าเป็นใคร (identification) ซึ่งวิธีที่สะดวกที่สุดจึงผ่านสายสัมพันธ์ในครอบครัว เด็กจึงเป็นตัวแทนของการควบคุม เมื่อเด็กถูกบังคับให้เข้าโรงเรียน ต้องมีการศึกษา นี่ทำให้เด็กถูกควบคุมด้วยคุณครูอีกทอดหนึ่ง ความรักของพ่อแม่กับเด็กเป็นเรื่องอารมณ์ (emotion) มากกว่าเหตุผลหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจ เด็กจึงสามารถต่อรองและควบคุมพฤติกรรมของพ่อแม่ผู้ปกครองผ่านกลไกทางอารมณ์ได้โดยง่าย
เจ คือพลเมืองของรัฐประชาชาติที่เติบโตภายใต้ระบอบเสรีนิยมใหม่ เจ ไม่ต่างจากจงซู ใน Burning (2018) หรือ คีวู ใน Parasite (2019) พวกเขาเพิ่งจะเข้าสู่ชาวงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นหมาดๆ เพิ่งจบการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่พวกเขาไม่มีงานทำ งานไม่อาจตอบสนองความปรารถนาลึกๆของพวกเขาได้ เขาเลือกจะออกจากงาน ที่ได้เงินเดือนพอใช้เดือนต่อเดือน แลกกับการมาอยู่บ้านและต้องคอยตอบคำถามญาติๆ ตอนช่วงปีใหม่หรืองานศพว่า “ตอนนี้ทำอะไรอยู่”
เจ ในฐานะซับเจคของรัฐ ผู้ดึงดูดให้พ่อของเขาพูดโน้มน้าวให้คนอย่างเจ ผนวกรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ (ไม่นับรวมตั้งแต่ว่าพ่อแม่พาเจเข้าเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์) ดังที่คนในตระกูลของเขาเกือบทั้งหมด “รับราชการ” หรือน้องชายที่กำลังศึกษาวิชาแพทยศาตร์ (แน่นอนว่าหมอก็ต้องจบออกมาทำงานโรงพยาบาลรัฐ เป็นข้าราชการ ถ้าไม่ลาออกไปเสียก่อน) รวมไปถึงการที่พ่อ แม่ และตาอย่างให้เจ ตัดผมให้สั้น เพื่อไม่ขายหน้าญาติๆ
เรื่องราวที่เฉพาะเจาะจงของเจ ที่ในขณะหนึ่งอาจซ้อนทับกับเรื่องราวของผู้กำกับ อาจดูเผินๆ ว่าเป็นเรื่องราวสุดแสนจะส่วนตัว เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เป็นความทรงจำของปัจเจค แต่เสียงเพลงลูกทุ่งอีสานพลัดถิ่นในตอนต้นเรื่อง บทสนทนาของคนอีสานที่ระหกระเหเร่ร่อนไปทำงานภาคใต้ คลอไปกับฉากเจกำลังถูกตัดผมโดยช่างที่จำต้องขึ้นราคาเพราะเศรษฐกิจกำลังดิ่งลงเหว หรือเสียงจากรายการวิทยุสองพิธีกรถกเถียงเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการที่ไม่ชอบมาพากล ในระหว่างที่พ่อและเจ คุยกันเหมือนไม่ได้พบเจอกันมานาน หรือแม้แต่กลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยประท้วงไล่นายกรัฐมนตรี (ไม่นับรวมข่าวชาวบ้านที่ถูกตัดเสียงออกอย่างน่าแปลกใจในรายการโทรทัศน์)
เสียงแทรกรบกวนเหล่านี้เองที่ถูกทำให้ดังพอๆ กับเสียงบทสนทนาของตัวละคร เรื่องราวของเจจึงไม่ใช่ของเจอีกต่อไป ครอบครัวของเจจึงถูกฉายภาพให้เทียบเคียงกับรัฐไทย ภาพของเด็กที่เป็นซับเจคของรัฐ รัฐที่ใช้เด็กต่อรองกับพ่อแม่จึงชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉากต้นเรื่องที่อาจไปบรรจบกับตอนท้าย เจกำลังเตรียมตัวเดินทางออกจากบ้านอีกครั้ง หยิบแผ่นหนัง Three Colours: Blue ของ Krzysztof Kieślowski กับพาสปอร์ต เจ ในท้ายที่สุดต้องยอมตัดผมให้สั้น เข้าสู่ระบบราชการ หรือสัมภาษณ์งานที่เขาไม่ชอบกับเงินเดือนที่ถูกกดขี่
ความสัมพันธ์ของเจกับคนนอกบ้านก็เป็นส่วนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนร่วมงาน กับหญิงสาวที่มีแฟนแล้ว หรือกับช่างตัดผม ความสัมพันธ์ชั่วคราวที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง เมื่อเสร็จภารกิจก็ถือว่าจบกัน เป็นเพื่อนกัน กินข้าวร่วมโต๊ะ ก็เมื่อตอนที่ทำงานด้วยกัน เป็นหญิงที่ให้หนุนตักก็เมื่อตอนที่เจ้าของของเธอไม่อยู่ หรือเป็นผู้ให้บริการตัดผมและสิ้นสุดเมื่อจ่ายเงิน ความสัมพันธ์นอกบ้านใน Untill We Meet Again จึงเป็นอะไรที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป
ต่างจากใต้ชายคาบ้าน ที่เจเองยังมีอะไรยึดติดอยู่ตลอด ที่เห็นได้ชัดคงเป็นการจากไปของคุณตา (ที่ชวนให้นึกถึงการจากไปของผู้ปกครองของรัฐไทย) ไม่ว่าจะเป็นฉากเหม่อลอยในงานศพ หรือการเอารูปตามาตั้งอีกครั้งก่อนออกจากบ้าน บ้านสำหรับเจจึงไม่ใช่ที่ๆ ละทิ้ง สลัดออก ลบให้หายจากความทรงจำได้ง่าย ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานที่ก็เดี๋ยวต้องไปสร้างความสัมพันธ์ใหม่ในที่ทำงานใหม่ ไม่ใช่ร้านตัดผมที่เปลี่ยนหาร้านที่ราคาถูกกว่านี้ได้ และไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบ casual relationship
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเจจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนนอกบ้าน หรือในบ้านอย่างไรก็ตาม ฉากที่สะท้อนความเปล่วเปลี่ยวของมนุษย์ภายใต้โครงสร้างของรัฐประชาชาติได้ดีที่สุดก็คงเป็นฉากแม่โทรมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตของตาให้เจ ฉากเจนั่งเหม่อในงานศพที่แม้จะมีใครเข้ามาทัก มาพูดคุยด้วย แต่ความอ้างว้างในจิตวิญญาณก็ไม่ได้ถูกถมให้เต็มในตอนก็จะเปลี่ยนฉาก หรือแม้แต่ฉากที่เจต้องไปเช่าห้องอยู่เพื่อติดต่อหาที่ทำงาน หลังจากที่ไปหาหญิงสาวและรู้ว่าแฟนของเธอกำลังจะมา
ความเปล่าเปลี่ยวของเจนี่เอง เทียบแล้วก็คงไม่ต่างจาก จำนวนของนักประชาธิปไตยที่ไปประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลไม่กี่คน ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปที่ สน.ดุสิต ความอ้างว้างนี่เองที่เป็นปัญหาของยุคสมัยที่ทำให้ขบวนการต่อต้านอำนาจรัฐไม่เคยไปถึงฝั่งฝัน รัฐได้ฉีกแยกกลุ่มคนให้กลายเป็นปัจเจคย่อยๆ จนยากจะกลับมารวมกันได้อีกแล้ว
อ้างอิง
- ธเนศ วงศ์ยานนาวา. ครอบครัวจินตกรรม. Illuminations Editions. 2561